วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
การผลิตน้ำประปา
การผลิตน้ำประปา
น้ำประปา หมายถึงน้ำเป็นที่ผ่านขบวนการบำบัดทั้งทางเคมีและชีวภาพต่าง ๆ มากมายจนสะอาดปราศจากเชื้อโรคสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ กระบวนการผลิตเริ่มจากขั้นตอนพื้นฐาน 6 ขั้นตอน คือ
1.การสูบน้ำดิบ
โรงสูบน้ำแรงต่ำจะทำการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อลำเลียงเข้าสู่ระบบผลิต น้ำดิบที่สามารถนำมาผลิตน้ำประปาได้นั้นต้องเป็นน้ำที่ไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกปนเปื้อนเกินกว่าที่กำหนด และต้องมีปริมาณมากเพียงพอ ที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง
แหล่งน้ำดิบ (Raw Water) ที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำประปา ได้มีการจำแนกชนิดของแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ตามลักษณะของคุณภาพของแหล่งน้ำดิบออก ได้เป็น
1. น้ำที่ไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ ( Water requiring no treatment ) จัดเป็นน้ำที่สะอาด สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้เลย ได้แก่น้ำบาดาล ที่ไม่ถูกปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก หรือสารเคมีต่างๆ
2.น้ำที่ต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น ( Water requiring disinfection only ) จัดว่าเป็นน้ำที่ใส และค่อนข้างสะอาด แต่ต้องทำการฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในน้ำก่อนที่จะใช้อุปโภคหรือบริโภค น้ำประเภทนี้ได้แก่ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ที่มีการปนเปื้อนเล็กน้อย มีค่า เอ็มพีเอ็น (MPN) ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 50 /น้ำ 100 มิลลิลิตรของแต่ละเดือน
3.น้ำที่ต้องผ่านระบบการกรองเร็ว และต้องการมีการเติมคลอรีนก่อนหรือเติมคลอรีนภายหลัง ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่ถึงชั้นน้ำในชนิดที่ 1 และ 2 มีค่าเอ็มพีเอ็น ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 5,000 / น้ำ 100 มิลลิกรัม ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่างที่ตรวจในเดือนใด ๆ น้ำชนิดนี้มักขุ่นและปนเปื้อนด้วยมลสาร
4.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพเพิ่ม นอกเหนือจากต้องผ่านระบบการกรองและเดินคลอรีนภายหลังแล้ว น้ำชนิดนี้ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น (preliminary treatment) โดยการทำให้ตกตะกอนก่อนด้วยการเก็บกักไว้เป็นเวลา 30 วัน และต้องมีการเติมคลอรีนก่อน (pre-chlorination) น้ำชนิดนี้มีค่าเอ็มพีเอ็น เกินกว่า 5,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่าง แต่ไม่เกินกว่า 20,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 5% ของน้ำตัวอย่างที่เก็บมา
5.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพิเศษ ( Water requiring unusual treatment measures ) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่จัดอยู่ในประเภททั้ง 4 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็นเกินกว่า 250,000 /น้ำตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร
2. การปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ
น้ำดิบที่สูบเข้ามาจะถูกผสมด้วยสารเคมี เช่น สารส้มและปูนขาว เพื่อทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ สารละลายสารส้มจะช่วยสารแขวนลอยในน้ำ ตกตะกอนได้ดีขึ้น สารละลายปูนขาวจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายในน้ำ บางครั้งอาจมีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคปนเปื้อนมากับน้ำ
3. การตกตะกอน
ขั้นตอนนี้จะปล่อยน้ำที่ผสมสารส้มและปูนขาวแล้ว ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อทำให้น้ำกับสารเคมีรวมตัวกันจะช่วยให้มีการจับตัวของตะกอนได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นน้ำเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่ถังตะกอน ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อพักร้อนทำให้เกิดน้ำนิ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากจะตกลงสู่ก้นถังและถูกดูดทิ้ง ส่วนน้ำใสที่อยู่ด้านด้านบนจะไหลตามรางรับน้ำเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
4. การกรอง
การกรองน้ำ จะใช้ทรายหยาบและทรายละเอียด เพื่อทำการกรองตะกอนขนาดเล็กในน้ำ และทำให้น้ำมีความใสสะอาดมากขึ้น ในขั้นตอนนี้น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว จะมีความใสมากแต่จะมีความขุ่นหลงเหลืออยู่ประมาณ 0.2-2.0 หน่วยความขุ่น ทรายที่ใช้กรองน้ำจะมีการล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพ
5. การฆ่าเชื้อโรค
น้ำที่ผ่านการกรองมาแล้วจะมีความใส แต่ยังมีเชื้อโรคเจือปนมากันน้ำ ดังนั้นจึงต้องทำการฆ่าเชื้อโรค โดยการใช้คลอรีน ซึ่งคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างดี น้ำที่ได้รับการผสมคลอรีนแล้ว เรียกว่า น้ำประปา สามารถนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ ประปาจะถูกเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่ เรียกว่า ถังน้ำใส เพื่อรอการจัดการจ่ายน้ำออกให้ประชาชนใช้ต่อไป
น้ำประปาที่ทำการผลิตมาแล้ว จะต้องวิเคราะห์ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจากนักวิทยาศาสตร์ และการตรวจสอบนี้จะทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้น้ำประปาที่สะอาด ปลอดภัย สำหรับการอุปโภคบริโภค
6. การสูบจ่าย
น้ำประปาที่ผลิตมาแล้ว จะต้องให้บริการถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ ด้วยการส่งน้ำผ่านไปตามท่อน้ำ ดังนั้นการสูบจ่ายน้ำจึงมีความจำเป็นมากเพื่อให้น้ำประปาสามารถส่งไปถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ น้ำประปา จะถูกส่งขึ้นหอสูง เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ ทำให้สามารถบริการได้ในพื้นที่ใกล้เคียง และในพื้นที่ห่างไกลออกไป
แหล่งที่มาของน้ำที่นำมาผลิตน้ำประปา
น้ำจืดในธรรมชาติ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล
1.น้ำผิวดิน (Surface Water) ได้มาจากน้ำฝนไหลรวมลงสู่แอ่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำ และไหลออกสู่ทะเล
2.น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground Water) เกิดจากการไหลซึมผ่านชั้นดินและทรายของน้ำผิวดิน ลงไปกักเก็บไว้ในโพรงชั้นหินที่มีรูพรุน ใช้เวลานับสิบนับร้อยปี หรือพันปี ระดับลึกตั้งแต่ 10 เมตร จนถึงหลายร้อยเมตร
น้ำฝนเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน เป็นน้ำกลั่นจากเครื่องกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ระเหยน้ำจากแม่น้ำ ลำธาร ทะเล มหาสมุทร ให้เป็นไอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจับตัวเป็นเมฆ หมอก กลั่นตัวเป็นน้ำฝน หิมะ ลูกเห็บ ตกลงสู่โลก เนื่องจากเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ จึงมีความสามารถในการละลายสูง เมื่อไหลผ่านพื้นดินที่ไม่มีต้นไม้คลุม จะเกิดการกัดเซาะตะกอนดินทำให้น้ำขุ่น หากทั่วทุกพื้นที่ประเทศมีแต่ต้นไม้ และพืชคลุมดิน น้ำผิวดินทั้งประเทศก็จะเป็นน้ำใต้ดิน การซึมผ่านชั้นดินชั้นทราย ยิ่งลึกมากน้ำก็จะยิ่งใสมาก
ความแตกต่างสำคัญระหว่างน้ำผิวดินและน้ำบาดาล คือ น้ำผิวดิน บางแห่งจะมีความขุ่นสูง แต่มีแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีน้อย ขณะที่น้ำบาดาลจะใส แต่ปริมาณแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีสูง เพราะน้ำใต้ดินผ่านการละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในชั้นใต้ดิน
น้ำบาดาลบางแหล่งมีแร่ธาตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพละลายปนอยู่ เช่น น้ำบาดาลภาคเหนือมีแร่ฟลูออไรด์สูง ดื่มแล้วทำให้ฟันตกกระ ดำ น้ำบาดาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอนุมูลคลอไรด์ ทำให้น้ำมีรสกร่อย เค็ม น้ำบาดาล กทม. และปริมณฑลที่ กปน. เคยใช้หลายแหล่งมีอนุมูลเหล็ก แมงกานีส ในรูปที่ละลายน้ำได้ เมื่อเปิดก๊อกใหม่ๆ น้ำจะใส พอได้สัมผัสอากาศ หรือคลอรีน ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้น้ำมีสีแดง น้ำตาลแดง ตั้งทิ้งไว้จะมีตะกอนเหล็กแมงกานีสสีแดง น้ำตาลแดง ซักผ้า ผ้าจะมีสี ทิ้งไว้นานๆ เครื่องสุขภัณฑ์จะมีคราบสีน้ำตาล และหลายแหล่งก็มีอนุมูลคลอไรด์ทำให้น้ำมีรสกร่อยด้วย นอกจากนี้ อนุมูลเหล็กยังทำให้น้ำบาดาลมีกลิ่นสนิมเหล็กเป็นลักษณะเฉพาะของน้ำบาดาลประการหนึ่ง
กลิ่นสนิมเหล็กนี้ ประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าเป็นกลิ่นคลอรีน ที่ร้องเรียนว่าน้ำประปาเหม็นคลอรีนนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะพบว่ากว่าร้อยละ 99 เป็นสาเหตุจากสนิมเหล็กในน้ำบาดาล หรือในน้ำประปาผิวดินจากเส้นท่อเก่าเป็นสนิมก็พบได้ แต่กรณีเส้นท่อเป็นสนิม เปิดก๊อกน้ำทิ้งอาการเหม็นจะหายไป กรณีจากน้ำบาดาลเอง เปิดทิ้งนานเท่าใดก็ยังได้กลิ่นอยู่
นอกจากปัญหาคุณภาพที่ทำให้น้ำบาดาลไม่เป็นที่นิยมแล้ว ปัญหาการนำน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณมากเกินไป จนน้ำผิวดินไหลซึมลงทดแทนไม่ทัน ทำให้เกิดการทรุดตัวทั่วทั้งผืน
ในส่วนของน้ำผิวดินก็มีปัญหามากมาย เช่นเดียวกับน้ำใต้ดิน การทิ้งสิ่งสกปรก น้ำเสียของชุมชนริมน้ำ วัตถุมีพิษทางการเกษตรของแหล่งเกษตรกรรม น้ำเสีย สารพิษ โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คุณภาพน้ำผิวดินของแหล่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำเสื่อมทรามลง อยู่ในสภาพเน่าเสียใช้อุปโภคบริโภคโดยตรงไม่ได้
ข้อดีของน้ำประปาเมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
การประปาผลิตน้ำประปาที่ได้มาตรฐานน้ำดื่ม น้ำประปาจึงมีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับดื่ม มีปริมาณแร่ธาตุหลากหลายที่ได้สมดุลย์แล้ว เมื่อร่างกายรับเข้าไปสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ต่างไปจากน้ำกลั่นทั้งโดยความร้อน หรือโดยการกรองกลับ (Reverse Osmosis : RO) น้ำกลั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ มีอำนาจการละลายสูง โดยตัวของมันเองยังขาดสมดุลย์อยู่ เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายก็ต้องปรับสมดุลย์โดยการดึงแร่ธาตุต่างๆ ในร่างการออกมา น้ำกลั่นเป็นน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสำหรับการผลิตยา การเติมแบตเตอรี่ไม่ใช่มาตรฐานน้ำดื่ม จะมีประโยชน์อะไรกับความสิ้นเปลืองสำหรับการดื่มน้ำกลั่น ปราศจากแร่ธาตุเจือปน ในเมื่ออาหารที่เรารับประทานทุกวันมีทั้งแร่ธาตุ กากใย สารพิษ ซากพืช
อ้างอิง
http://reg10.pwa.co.th/pwa10/Knowledge/ProductChart.php © Copyright by งานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์
http://www.pwa.co.th/document/clorine.html ที่มา : วารสารการประปานครหลวง
http://images.google.com/imgres?imgurl
http://202.129.59.73/tn/khantron/new_page_4.htm
น้ำประปา หมายถึงน้ำเป็นที่ผ่านขบวนการบำบัดทั้งทางเคมีและชีวภาพต่าง ๆ มากมายจนสะอาดปราศจากเชื้อโรคสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ กระบวนการผลิตเริ่มจากขั้นตอนพื้นฐาน 6 ขั้นตอน คือ
1.การสูบน้ำดิบ
โรงสูบน้ำแรงต่ำจะทำการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อลำเลียงเข้าสู่ระบบผลิต น้ำดิบที่สามารถนำมาผลิตน้ำประปาได้นั้นต้องเป็นน้ำที่ไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกปนเปื้อนเกินกว่าที่กำหนด และต้องมีปริมาณมากเพียงพอ ที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง
แหล่งน้ำดิบ (Raw Water) ที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำประปา ได้มีการจำแนกชนิดของแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ตามลักษณะของคุณภาพของแหล่งน้ำดิบออก ได้เป็น
1. น้ำที่ไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ ( Water requiring no treatment ) จัดเป็นน้ำที่สะอาด สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้เลย ได้แก่น้ำบาดาล ที่ไม่ถูกปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก หรือสารเคมีต่างๆ
2.น้ำที่ต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น ( Water requiring disinfection only ) จัดว่าเป็นน้ำที่ใส และค่อนข้างสะอาด แต่ต้องทำการฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในน้ำก่อนที่จะใช้อุปโภคหรือบริโภค น้ำประเภทนี้ได้แก่ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ที่มีการปนเปื้อนเล็กน้อย มีค่า เอ็มพีเอ็น (MPN) ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 50 /น้ำ 100 มิลลิลิตรของแต่ละเดือน
3.น้ำที่ต้องผ่านระบบการกรองเร็ว และต้องการมีการเติมคลอรีนก่อนหรือเติมคลอรีนภายหลัง ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่ถึงชั้นน้ำในชนิดที่ 1 และ 2 มีค่าเอ็มพีเอ็น ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 5,000 / น้ำ 100 มิลลิกรัม ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่างที่ตรวจในเดือนใด ๆ น้ำชนิดนี้มักขุ่นและปนเปื้อนด้วยมลสาร
4.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพเพิ่ม นอกเหนือจากต้องผ่านระบบการกรองและเดินคลอรีนภายหลังแล้ว น้ำชนิดนี้ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น (preliminary treatment) โดยการทำให้ตกตะกอนก่อนด้วยการเก็บกักไว้เป็นเวลา 30 วัน และต้องมีการเติมคลอรีนก่อน (pre-chlorination) น้ำชนิดนี้มีค่าเอ็มพีเอ็น เกินกว่า 5,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่าง แต่ไม่เกินกว่า 20,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 5% ของน้ำตัวอย่างที่เก็บมา
5.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพิเศษ ( Water requiring unusual treatment measures ) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่จัดอยู่ในประเภททั้ง 4 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็นเกินกว่า 250,000 /น้ำตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร
2. การปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ
น้ำดิบที่สูบเข้ามาจะถูกผสมด้วยสารเคมี เช่น สารส้มและปูนขาว เพื่อทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ สารละลายสารส้มจะช่วยสารแขวนลอยในน้ำ ตกตะกอนได้ดีขึ้น สารละลายปูนขาวจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายในน้ำ บางครั้งอาจมีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคปนเปื้อนมากับน้ำ
3. การตกตะกอน
ขั้นตอนนี้จะปล่อยน้ำที่ผสมสารส้มและปูนขาวแล้ว ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อทำให้น้ำกับสารเคมีรวมตัวกันจะช่วยให้มีการจับตัวของตะกอนได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นน้ำเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่ถังตะกอน ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อพักร้อนทำให้เกิดน้ำนิ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากจะตกลงสู่ก้นถังและถูกดูดทิ้ง ส่วนน้ำใสที่อยู่ด้านด้านบนจะไหลตามรางรับน้ำเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
4. การกรอง
การกรองน้ำ จะใช้ทรายหยาบและทรายละเอียด เพื่อทำการกรองตะกอนขนาดเล็กในน้ำ และทำให้น้ำมีความใสสะอาดมากขึ้น ในขั้นตอนนี้น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว จะมีความใสมากแต่จะมีความขุ่นหลงเหลืออยู่ประมาณ 0.2-2.0 หน่วยความขุ่น ทรายที่ใช้กรองน้ำจะมีการล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพ
5. การฆ่าเชื้อโรค
น้ำที่ผ่านการกรองมาแล้วจะมีความใส แต่ยังมีเชื้อโรคเจือปนมากันน้ำ ดังนั้นจึงต้องทำการฆ่าเชื้อโรค โดยการใช้คลอรีน ซึ่งคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างดี น้ำที่ได้รับการผสมคลอรีนแล้ว เรียกว่า น้ำประปา สามารถนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ ประปาจะถูกเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่ เรียกว่า ถังน้ำใส เพื่อรอการจัดการจ่ายน้ำออกให้ประชาชนใช้ต่อไป
น้ำประปาที่ทำการผลิตมาแล้ว จะต้องวิเคราะห์ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจากนักวิทยาศาสตร์ และการตรวจสอบนี้จะทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้น้ำประปาที่สะอาด ปลอดภัย สำหรับการอุปโภคบริโภค
6. การสูบจ่าย
น้ำประปาที่ผลิตมาแล้ว จะต้องให้บริการถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ ด้วยการส่งน้ำผ่านไปตามท่อน้ำ ดังนั้นการสูบจ่ายน้ำจึงมีความจำเป็นมากเพื่อให้น้ำประปาสามารถส่งไปถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ น้ำประปา จะถูกส่งขึ้นหอสูง เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ ทำให้สามารถบริการได้ในพื้นที่ใกล้เคียง และในพื้นที่ห่างไกลออกไป
แหล่งที่มาของน้ำที่นำมาผลิตน้ำประปา
น้ำจืดในธรรมชาติ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล
1.น้ำผิวดิน (Surface Water) ได้มาจากน้ำฝนไหลรวมลงสู่แอ่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำ และไหลออกสู่ทะเล
2.น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground Water) เกิดจากการไหลซึมผ่านชั้นดินและทรายของน้ำผิวดิน ลงไปกักเก็บไว้ในโพรงชั้นหินที่มีรูพรุน ใช้เวลานับสิบนับร้อยปี หรือพันปี ระดับลึกตั้งแต่ 10 เมตร จนถึงหลายร้อยเมตร
น้ำฝนเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน เป็นน้ำกลั่นจากเครื่องกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ระเหยน้ำจากแม่น้ำ ลำธาร ทะเล มหาสมุทร ให้เป็นไอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจับตัวเป็นเมฆ หมอก กลั่นตัวเป็นน้ำฝน หิมะ ลูกเห็บ ตกลงสู่โลก เนื่องจากเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ จึงมีความสามารถในการละลายสูง เมื่อไหลผ่านพื้นดินที่ไม่มีต้นไม้คลุม จะเกิดการกัดเซาะตะกอนดินทำให้น้ำขุ่น หากทั่วทุกพื้นที่ประเทศมีแต่ต้นไม้ และพืชคลุมดิน น้ำผิวดินทั้งประเทศก็จะเป็นน้ำใต้ดิน การซึมผ่านชั้นดินชั้นทราย ยิ่งลึกมากน้ำก็จะยิ่งใสมาก
ความแตกต่างสำคัญระหว่างน้ำผิวดินและน้ำบาดาล คือ น้ำผิวดิน บางแห่งจะมีความขุ่นสูง แต่มีแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีน้อย ขณะที่น้ำบาดาลจะใส แต่ปริมาณแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีสูง เพราะน้ำใต้ดินผ่านการละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในชั้นใต้ดิน
น้ำบาดาลบางแหล่งมีแร่ธาตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพละลายปนอยู่ เช่น น้ำบาดาลภาคเหนือมีแร่ฟลูออไรด์สูง ดื่มแล้วทำให้ฟันตกกระ ดำ น้ำบาดาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอนุมูลคลอไรด์ ทำให้น้ำมีรสกร่อย เค็ม น้ำบาดาล กทม. และปริมณฑลที่ กปน. เคยใช้หลายแหล่งมีอนุมูลเหล็ก แมงกานีส ในรูปที่ละลายน้ำได้ เมื่อเปิดก๊อกใหม่ๆ น้ำจะใส พอได้สัมผัสอากาศ หรือคลอรีน ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้น้ำมีสีแดง น้ำตาลแดง ตั้งทิ้งไว้จะมีตะกอนเหล็กแมงกานีสสีแดง น้ำตาลแดง ซักผ้า ผ้าจะมีสี ทิ้งไว้นานๆ เครื่องสุขภัณฑ์จะมีคราบสีน้ำตาล และหลายแหล่งก็มีอนุมูลคลอไรด์ทำให้น้ำมีรสกร่อยด้วย นอกจากนี้ อนุมูลเหล็กยังทำให้น้ำบาดาลมีกลิ่นสนิมเหล็กเป็นลักษณะเฉพาะของน้ำบาดาลประการหนึ่ง
กลิ่นสนิมเหล็กนี้ ประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าเป็นกลิ่นคลอรีน ที่ร้องเรียนว่าน้ำประปาเหม็นคลอรีนนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะพบว่ากว่าร้อยละ 99 เป็นสาเหตุจากสนิมเหล็กในน้ำบาดาล หรือในน้ำประปาผิวดินจากเส้นท่อเก่าเป็นสนิมก็พบได้ แต่กรณีเส้นท่อเป็นสนิม เปิดก๊อกน้ำทิ้งอาการเหม็นจะหายไป กรณีจากน้ำบาดาลเอง เปิดทิ้งนานเท่าใดก็ยังได้กลิ่นอยู่
นอกจากปัญหาคุณภาพที่ทำให้น้ำบาดาลไม่เป็นที่นิยมแล้ว ปัญหาการนำน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณมากเกินไป จนน้ำผิวดินไหลซึมลงทดแทนไม่ทัน ทำให้เกิดการทรุดตัวทั่วทั้งผืน
ในส่วนของน้ำผิวดินก็มีปัญหามากมาย เช่นเดียวกับน้ำใต้ดิน การทิ้งสิ่งสกปรก น้ำเสียของชุมชนริมน้ำ วัตถุมีพิษทางการเกษตรของแหล่งเกษตรกรรม น้ำเสีย สารพิษ โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คุณภาพน้ำผิวดินของแหล่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำเสื่อมทรามลง อยู่ในสภาพเน่าเสียใช้อุปโภคบริโภคโดยตรงไม่ได้
ข้อดีของน้ำประปาเมื่อเทียบกับน้ำกลั่น
การประปาผลิตน้ำประปาที่ได้มาตรฐานน้ำดื่ม น้ำประปาจึงมีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับดื่ม มีปริมาณแร่ธาตุหลากหลายที่ได้สมดุลย์แล้ว เมื่อร่างกายรับเข้าไปสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ต่างไปจากน้ำกลั่นทั้งโดยความร้อน หรือโดยการกรองกลับ (Reverse Osmosis : RO) น้ำกลั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ มีอำนาจการละลายสูง โดยตัวของมันเองยังขาดสมดุลย์อยู่ เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายก็ต้องปรับสมดุลย์โดยการดึงแร่ธาตุต่างๆ ในร่างการออกมา น้ำกลั่นเป็นน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสำหรับการผลิตยา การเติมแบตเตอรี่ไม่ใช่มาตรฐานน้ำดื่ม จะมีประโยชน์อะไรกับความสิ้นเปลืองสำหรับการดื่มน้ำกลั่น ปราศจากแร่ธาตุเจือปน ในเมื่ออาหารที่เรารับประทานทุกวันมีทั้งแร่ธาตุ กากใย สารพิษ ซากพืช
อ้างอิง
http://reg10.pwa.co.th/pwa10/Knowledge/ProductChart.php © Copyright by งานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์
http://www.pwa.co.th/document/clorine.html ที่มา : วารสารการประปานครหลวง
http://images.google.com/imgres?imgurl
http://202.129.59.73/tn/khantron/new_page_4.htm
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)



