วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บันทึกฝึกงาน 44 วัน 352 ชั่วโมง

บันทึกฝึกงาน 44 วัน 352 ชั่วโมง

DAY 1 วันที่ 15.03.10
วันแรกสำหรับการฝึกงานบรรยากาศดูแปลกๆ ไม่มีอะไรให้ทำเลย นั่งอ่านข้อมูลของสถานี แล้วก็เล่นคอม ตอนบ่ายได้เข้าพบผู้อำนวยการสถานี ก็ไม่มีอะไรมากแนะนำตัวว่ามาจากไหนอยู่ที่ไหนเรียนอะไรมา หลังจากนั้นก็ออกมานั่งเฉยๆ เล่นคอมไปแก้เบื่อ จนถึงเวลาเลิกงาน 16.30 น ยังไม่รู้จะได้ทำหน้าที่อะไร

DAY 2 วันที่ 16.03.10
วันนี้เข้างาน 08.30 น บรรยากาศก็ยังเหมือนเดิม ทุกคนที่นี่เป็นกันเองมาก ชวนคุยด้วยตลอด แต่ก็ยังไม่มีอะไรให้ทำ นอกจากช่วยเอาน้ำไปให้แขก ตอนนี้รู้แล้วว่าพี่เลี้ยงชื่อ น้าอภิชาต กับ พี่ชลธี งานที่คาดว่าจะได้ทำคือออกหน่วยลงพื้นที่ วันนี้มีชาวบ้านมาของ พด.(ปุ๋ย) 1 คน ตอนเย็นมีตำรวจทางหลวงเข้ามาเยี่ยมสถานี มาถามข้อมูลเกี่ยวกับการทำเกษตร แล้วก็ถามว่าคนที่นี่เหลืองหรือว่าแดง พี่เค้าก็ตอบว่าเหลือง ตำรวจก็บอกว่าพวกเค้าแดง แล้วการสนทนาก็จบลงอย่างรวดเร็ว

DAY 3 วันที่ 17.03.10
วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ออกหน่วยไปให้คำปรึกษากับชาวบ้านที่เค้ามีปัญหาเดือดร้อน เอารถมารับถึงสถานี วันนี้เลยโชคดีได้ลงพื้นที่จริง เข้าไปในสวนก็ดูแปลกตาดี เป็นสวนผสมบ่อเลี้ยงปลา มีปัญหาเรื่องดินเค็ม แล้วก็ด้วงกินยอดมะพร้าว ต้องนั่งเรือข้ามคลอง เดินเล่นรอบสวนมีต้นไม้แปลกๆ หลายพันธุ์ได้กินมะขามเทศมัน ครั้งแรกในชีวิต รสชาติหนาวมันดี ขากลับพายุเข้าฝนตกหนักมากต้องให้ฝนซ่าก่อนถึงข้ามคลองได้ กลับถึงสถานีก็ 11.30 น เจ้าหน้าที่คนอื่นพากันไปต้อนรับแขกผู้มาตรวจประเมินสถานีกันหมด เลยนั่งเล่นคอมอยู่คนเดียวจนถึงเวลาเลิกงาน

DAY 4 วันที่ 18.03.10
วันนี้เข้างานตั้งแต่ 08.00 น เพราะต้องไปออกหน่วยที่ อบต.บางสมัคร ไปแจกปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พด.2 ให้ชาวบ้าน ปุ๋ยพด.2 ทำจากหัวปลาหมัก กลิ่นเหมือนน้ำปลา กลิ่นติดมือดีมาก แจกให้ชาวบ้านตั้งแต่ 09.00 น แจกไปประมาณ 100 คนได้ ชาวบ้านที่มารับส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มารับแล้วก็ถามวิธีใช้ ปัญหาเกี่ยวกับการเพาะปลูก บางเรื่องก็ตอบได้ บางเรื่องก็ตอบไม่ได้โยนให้พี่เลี้ยงตอบ งานเลิกก็เที่ยงพอดี กลับถึงสถานีไม่มีคนอยู่อีกแล้ว เฝ้าสถานีกับแม่บ้านแล้วก็หาข้อมูลทำรายงาน สามโมงกว่า พวกพี่ๆก็กลับมาสถานี ค่อยคึกคักขึ้นมาหน่อย 16.30 น เลิกงานกลับบ้าน


DAY 5 วันที่ 19.03.10
วันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน เข้างานตั้งแต่ 08.00 น เพราะต้องไปออกหน่วยเคลื่อนที่ ที่วัดบางโรง ต.บางโรง อ.บางคล้า ระยะทางไกลพอควร อยู่เลยเขื่อนทดน้ำบางปะกงออกไปอีก ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะสามารถเบียดตัวเองเข้าไปนั่งในรถปิกอัพที่ไม่มีCAB นั่งไปกัน 3 คน ไปถึงก็เหมือนเดิมแจกปุ๋ย พด.2 หัวเชื้อ พด. 2 พด.1 ให้ชาวบ้าน วันนี้คนน้อยแต่ก็แจกได้เรื่อยๆ แจกเสร็จก็เที่ยงวัน ขากลับแวะไปเอากากน้ำตาลขึ้นรถอีก 1200 กิโล เต็มท้ายรถยางแบนน่ากลัว แต่ก็กลับมาถึงสถานีตอน 14.45 น วันนี้ได้มะม่วงกับไข่เค็มเพียบเลย และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์แรกครบ 40 ชั่วโมง

DAY 6 วันที่ 21.03.10
วันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ที่สอง ตอนเช้าไปช่วยพี่อ๊อดขนปุ๋ยพด. หัวเชื้อพด. ขึ้นรถเตรียมนำไปส่งให้ตัวแทนแจกจ่ายให้ชาวบ้าน พอบ่ายก็ขนไปส่ง คราวนี้พี่ผู้หญิงไปด้วยหลายคนคุยกันสนุกดี ส่งที่แรกเป็นศูนย์การเรียนรู้การเกษตร ตำบลบางเตย ส่งเสร็จก็แวะมากินข้าวเที่ยงที่ร้านลาบร้อยเอ็ด ตรงข้ามสถานีไฟ แต่เราไม่กินปลาร้า ส้มตำ แต่ก็มีคอหมูย่าง ต้มแซบกระดูกหมู ลวกจิ้มเครื่องใน รสชาติก็อร่อยใช้ได้ กินเสร็จก็แวะไปเดินเล่นที่บิ๊กซี จนถึงบ่ายสองโมงครึ่ง เอาของไปส่งที่สุดท้ายสำนักงานเกษตร อำเภอเมืองแปดริ้ว แล้วก็กลับสถานี ถึงสถานีประมาณสามโมงครึ่ง ยืมหนังสือผีบนรถพี่อ๊อดมาอ่าน จนถึงสี่โมงครึ่งเลิกงานกลับบ้าน

DAY 7 วันที่ 22.03.10
วันนี้ตอนเช้าไม่มีอะไรให้ทำเหมือนเดิม แต่พอตอนบ่ายมีคนมาขอปุ๋ยพด. เมล็ดพันธุ์พืชตั้งหลายรายมีทั้ง ทหารเรือ มาขอพด.ไปแจกให้ทหารเกณฑ์ แล้วก็มีลุงอยู่คนนึงขับรถมาไกลจากบางน้ำเปรี้ยวมาขอปุ๋ยพืชสด ตอนแรกลุงแกไปที่เขาหินซ้อน ที่นั่นเขาก็ไม่ให้ โยนให้มาที่สถานี พอมาที่สถานีของที่ลุงต้องการดันหมด ลุงเค้าอยากได้ถั่วพร้า สุดท้ายก็เลยต้องขับรถกลับมือเปล่าน่าสงสารมาตั้งไกล แต่พอลองเช็คดู ว่าใครยังพอมีเมล็ดถั่วพร้าอยู่บ้างก็ได้มาชุดนึง เลยโทรเรียกให้ลุงขับรถย้อนกลับมา ลุงแกย้อนกลับมาแล้วก็ได้เมล็ดถั่วพร้ากลับไป ตอนสี่โมงมีเซลแมนขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามาสาธิตเครื่องทำเค้ก แต่ดันมาช้าไป เค้าจะเลิกงานกันหมดแล้ว เลยต้องให้มาใหม่วันหลัง แต่ก็เลยอดกินเค้กฟรี
DAY 8 23.03.10
วันนี้มีภารกิจออกหน่วยที่อำเภอท่าตะเกียบ ออกจากสถานีก็เกือบ สิบโมง เอาถั่วพร้ามา ตันกว่า เตรียมเอาไปแจกชาวบ้าน ไปถึงท่าตะเกียบก็เกือบบ่ายสองเอาของลงเสร็จ ก็เอาเครื่อง GPS ไปจับพิกัดถังหมักปุ๋ยพด.2 ที่เคยเอาไปแจกให้ชาวบ้าน แล้วก็เช็คดูว่าชาวบ้านทำปุ๋ยจริงรึป่าว มีหลายบ้านที่ทำจริง แล้วก็มีหลายบ้านเหมือนกันที่เอาไปแล้วไม่ทำ กลับเอาถังไปใส่น้ำ ตระเวนไป เก้าหมู่บ้าน ในตำบลคลองตะเกรา อำเภอท่าตะเกียบ ผ่านเขื่อนสียัด หมู่บ้านเกาะกระทิง เช็คพิกัดเสร็จก็เกือบหกโมงเย็น ออกหน่วยคราวนี้ไปด้วยกัน 3 คน มีพี่หนูจันทร์ กับพี่สายรุ้งเป็นพี่เลี้ยง พี่หนูจันทร์เป็นคนขับรถพาไป ขับซิ่งมาก เกือบได้บวกกับสิบล้อหลายที กลับถึงบ้านเกือบสองทุ่ม

DAY 9 วันที่ 24.03.10
วันนี้เป็นวันที่ว่างจริงๆ ไม่ได้ไปออกหน่วยเพราะเมื่อวานไปมาแล้วทั้งวัน วันนี้เลยขอพักซักวัน ตอนสายๆ เซลแมนเจ้าเดิมที่เคยมาคราวก่อน มาสาธิตเตาไมโครเวฟ ผสมเตาอบ บวกหม้อนึ่งได้ในตัว มาสาธิตวิธีทำอาหารอย่างรวดเร็วให้ดู ราคาเครื่องก็หมื่นกว่าบาท แต่ที่น่าสนใจคือได้กินของฟรีมีทั้งไก่ย่าง ข้าวเหนียว แล้วก็เค้ก เมนูเค้กอันนี้ตอนทำเสร็จใหม่ๆก็นุ่มดีอยู่หรอก แต่พอทิ้งไว้นานมันค่อยๆ แข็งจนเหมือนฟองน้ำแข็งๆ ร่วงๆ พอเซลแมนชุดนี้กลับไป ชุดใหม่ก็เข้ามาจะสาธิตเตาเย็น แต่ไม่มีใครอยู่ เพราะพวกพี่ๆ เค้าออกไปทำงานกันหมดเลย เลยต้องกลับไปก่อนตอนบ่ายก็มีคนเอาผ้าไหมมาขายอีก ตกลงสถานีกลายเป็นลานโชว์สินค้าไปซะแล้ว

DAY 10 วันที่ 25.03.10
วันนี้พายุเข้าแต่เช้าฝนตกหนักมากต้องขี่รถไปทำงานแบบเปียกๆ วันนี้ได้รับงานล่วงหน้าให้ไปออกหน่วยที่อำเภอเมือง กับพี่อ๊อดวันจันทร์หน้า ก็เลยต้องช่วยพี่อ๊อดเช็คข้อมูล คราวนี้พี่อ๊อดจะเป็นคนบรรยายเรื่องพด. พอทำเสร็จก็ว่างไม่มีอะไรให้ทำตอนบ่ายมีเกษตรกรมาขอ พด.6 คราวนี้เป็นเจ้าของบ่อเลี้ยงปลาต้องการ พด.6ไปบำบัดน้ำเสีย แกบอกว่าแกใช้ พด.6 อยู่ประจำและได้ผลดีด้วยเลยมาขอเพิ่มอีก รายนี้เอาไปใช้จริงๆ อย่างนี้ค่อยน่าให้ไปเยอะๆ มีหลายคนเอาไปแล้วไม่ทำ น่าตามไปยึดคืนมาให้คนที่เค้าทำจริงๆดีกว่า วันนี้สภาพอากาศแปลกสี่โมงครึ่งแล้ว แต่ท้องฟ้ายังดูสว่างเหมือนบ่ายโมงเลย

DAY 11 วันที่ 29.03.10
วันนี้มีภารกิจออกหน่วยไปเป็นลูกมือพี่อ๊อด ช่วยบรรยายเรื่องการใช้ปุ๋ยพด. ที่ตำบลบางเตย งานเริ่ม เก้าโมง มีวิทยากรขึ้นบรรยายหลายคน ถึงตาพี่อ๊อดบรรยายก็เกือบ 11.30 น บรรยายเสร็จก็เที่ยงกว่าๆ ร่วมกินข้าวกลางวันกับชาวบ้าน แล้วก็กลับสถานี ขากลับพี่อ๊อดแวะเอารถไปสลับยาง ทำเสร็จก็ประมาณบ่ายโมงครึ่ง กลับถึงสถานีก็ประมาณบ่าสองโมงครึ่ง วันนี้ที่สถานีมีประชุมแล้วก็กินเลี้ยงกันต่อ ไปถึงพี่ๆ ก็เมารอกันอยู่แล้ว ผอ.สถานีก็อยู่ แต่ยังไงวันนี้ก็ไม่ได้กินเหล้าอยู่ดี เพราะรสชาติมันไม่ได้เรื่อง กินไก่ย่างไปชิ้นนึ่งแล้วก็กลับขึ้นสำนักงานไปหาข้อมูลในคอมจนถึงสี่โมงครึ่ง


DAY 12 วันที่ 30 .03.10
วันนี้มีชาวบ้านมาขอหญ้าแฝกไปปลูกที่ขอบบ่อเลี้ยงปลา เพื่อแก้ปัญหาเรื่องดินขอบบ่อพังทลาย น่าสนใจตรงที่ว่าเจ้าของบ่อรายนี้ สืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจนมาถึงที่สถานี ทันสมัยจริงเลยๆ รายที่สองเป็นกำนัน มาขอพด.2 เอาไปแจกให้เด็กนักเรียนทำ รายที่สามเป็นพนักงานสนามกอร์ฟไทยคันทรีคลับ มาขอ พด.7 ไปไล่แมลงในสนามหญ้า จากนั้นตอนบ่ายสองก็มาช่วย พี่พิศทำตารางรายชื่อ เสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำ นั่งเล่นคอมจนถึงเวลาเลิกงาน

DAY 13 วันที่ 31.03.10
มีชาวบ้านมาขอ พด.2 แค่รายเดียวเอง ขอเอาไปใช้กับบ่อเลี้ยงปลา นอกนั้นวันนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำเลยนั่งอยู่หน้าคอมพิมพ์ข้อมูลของสถานีเก็บไว้ทำรายงาน เสร็จแล้วก็นั่งอ่านการ์ตูนออนไลน์ ตอนเย็นพี่หนูจันทร์โทรมาถามเรื่องโปรแกรม Arc GIS ว่าใช้เป็นรึป่าวพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ พี่เค้าจะเอาแผนที่มาให้ทำ งานเข้าอีกแล้ว

DAY 14 วันที่ 01.04.10
วันนี้มีภารกิจด่วนแบบไม่รู้ล่วงหน้า ไปออกหน่วยกับ ผอ.สถานี คราวนี้ไปกันหลายคน มีพี่แก่นคนขับรถ ผอ. แล้วก็พี่สายรุ้ง ออกจากสถานีประมาณสิบโมงกว่า ไปที่อำเภอท่าตะเกียบ เอาถังหมักปุ๋ยไปให้ชาวบ้าน คราวนี้ไปทางเขื่อนสียัด ได้ไปดูเขื่อนสียัดแบบใกล้ๆ เขื่อนยาว 2460 เมตร กว้าง 9 เมตร สูงประมาณ 27.10 เมตร ตอนเอาของไปส่งฝนก็ตกเป็นช่วงๆ บางทีก็ตกหนัก ถนนก็เป็นลาดยางสลับกับบางช่วงที่เป็นทางลูกรัง ส่งของเสร็จก็จอดรถรอฟังหวยวันนี้หวยออก ผอ. กับพี่แก่นแกซื้อไว้เยอะ แล้วก็โดนหวยแดกกันเป็นแถว กลับถึงสถานีประมาณห้าโมงครึ่ง

DAY 15 วันที่ 02.04.10
วันนี้นั่งทำแผนที่ทั้งวัน เลยไม่ได้ไปออกหน่วย พี่หนูจันทร์เอาข้อมูลมาให้ทดลองทำ ใช้โปรแกรม Arc GIS 3.2 ยังดีนะที่เป็นโปรแกรมที่คุ้นเคย ยังพอทำได้ ข้อมูลแผนที่ได้มาเยอะมาก เล่นเอาเครื่องโหลดช้า แต่ก็ยังพอทำได้ ทำไปทำมาก็มีเหมือนกัน ที่ลืมวิธีใช้คำสั่ง ต้องโทรถามอาจารย์เป็นการด่วน แต่ยังไงวันนี้ก็ลองทำจนดูออกมาเป็นแผนที่ได้แล้ว แต่ต้องกลับไปทบทวนความรู้อีกนิดหน่อย วันนี้สุดท้ายของสัปดาห์ที่ 3 เท่ากับ 120 ชั่วโมง

DAY 16 วันที่ 5.04.10
วันนี้มีงานให้ทำเยอะเลย งานแรกค้นหารายชื่อเกษตรกรแล้วก็ปริ๊นให้พี่อ๊อด แล้วก็นั่งทำแผนที่ตำบลท่าตะเกียบให้พี่หนูจันทร์ แล้วก็อ่านการ์ตูนออนไลน์ไปด้วย ทำทุกอย่างพร้อมกันกัน ใช้คอมทีเดียว 3 เครื่องสลับกัน ทำของพี่อ๊อดเสร็จประมาณสิบโมง จากนั้นก็ทำของพี่หนูจันทร์ต่อจนถึงสี่โมงเย็น เอาภาพถ่ายอากาศของตำบลท่าตะเกียบมาต่อกันแผนที่ เหมือนเล่นเกมต่อภาพ ต้องใช้ความอดทนมาก วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวทั้งวันแต่ก็ไม่มีผลอะไรเพราะนั่งอยู่ในห้องแอร์อยู่แล้ว

DAY 17 วันที่ 6.04.10
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่โคตรร้อน ขนาดอยู่ในห้องแอร์ยังร้อน ห้องรับแขกร้อนสุดๆ ไม่มีแอร์ ตอนเช้านั่งทำพื้นที่กันชนรอบเขื่อนสียัดรัศมี 10 ก.ม. ให้พี่หนูจันทร์ใช้ Arc GIS เหมือนเดิมทำเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรทำ นั่งอ่านการ์ตูนออนไลน์ วันนี้มีคนมาติดต่องานที่สถานี 3 ราย รายที่ 1 กับ 2 มาขอ พด.2 แต่รายที่ 3 มาตอนใกล้เวลาเลิกพอดี เป็นเกษตรกรรายใหม่เพิ่มลองปลูกมันเป็นครั้งแรก เลยมาขอคำแนะนำที่สถานี คุยเสร็จก็เกือบ 5 โมง

DAY 18 วันที่ 7.04.10
วันนี้ตอนเช้าติวเข้มเนื้อหากับพี่อ๊อด เรื่อง พด.1,2,3,6,7 ถั่วพร้า หญ้าแฝก วิธีทำ พด.1 ใช้หญ้าแห้ง 1 ตัน ปุ๋ยคอก 200 กก ปุ๋ยไนโตรเจน 2 กก พด.1 ละลายน้ำ กองปุ๋ยหมักเข้าด้วยกันแล้วรดด้วยพด.1 ละลายน้ำกองปุ๋ยในที่ร่ม กลับกองปุ๋ยทุก 10 วัน เพื่อระบายความร้อนและเพิ่มออกซิเจน รักษาความชื้นที่ 60 % กองปุ๋ยหมักไว้จนกว่าอุณหภูมิภายนอกและภายในเท่ากัน ถึงเอาไปใช้ได้
พด.2 เป็นปุ๋ยอินทรีย์น้ำ เศษผักผลไม้ ปลา 40 กก กากน้ำตาล 10 กก น้ำ 20 ลิตร พด.2 1 ซอง พด.3 ก็เป็นปุ๋ยป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า ใช้ปุ๋ยหมัก 100 กก รำข้าว 1 กก พด.3 ละลายน้ำ 1 ซอง จากนั้นก็เป็นปุ๋ยพืชสด ถั่วพร้าปอเทือง หว่านในดินขณะที่ดินยังมีความชื้น ก่อนหรือหลังเก็บเกี่ยวพืชหลัก อัตราการหว่าน 8–10 กก ต่อไร่ จากนั้นไถกลบตอนช่วงกำลังออกดอกทำให้ได้ปุ๋ยไนโตรเจน อัตราการเจริญเติบโตจะอยู่ที่ 45–50 วัน
หญ้าแฝกใช้อนุรักษ์ดินและน้ำแล้วก็เรื่องดิน ดินในฉะเชิงเทราจะเป็นดินเปรี้ยงบวกดินเค็ม ดินเค็มจะเกิดบริเวณที่น้ำทะเลเข้าถึง วิธีแก้ไขใช้ยิปซัม ส่วนดินเปรี้ยว ใช้ปูนขาว ดินไดโมไล ปูนมาล์น ติวเสร็จก็มีคนมาขอหญ้าแฝก นายกเทศบาลท่าข้ามมาขอเอง ตอนกลางวันพี่อู้ตชวนออกไปกินข้าวกลางวันข้างนอกกับพี่ๆ ในห้องธุรการ ไปกินที่ชลบุรีร้านครัวยายชิ้น กินเสร็จก็กลับมาที่สถานี ถึงสถานีก็เกือบสามโมงครึ่ง นั่งอ่านการ์ตูนฟรี ในสถานีแล้วก็คุยกับเพื่อนรุ่นน้องจนถึงเวลาเลิกงาน

DAY 19 วันที่ 8.04.10
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของอาทิตย์นี้ตอนเช้าก็ไม่มีอะไรทำเหมือนเดิมสายๆ ก็มีคนมาขอ พด.2 กับพด.1 แล้วก็ว่างทั้งวันไม่มีอะไรทำนอกจากนั่งอ่านการ์ตูนออนไลน์อยู่หน้าคอมคอยลูกค้า จนสี่โมงครึ่งจะเลิกงานอยู่แล้ว มีคนมาขอ พด.2 กับ พด.1 แล้วก็ตอนนี้เหลือเราคนเดียวในห้อง นอกจากฝ่ายธุรการ เลยได้ฉายเดี่ยวอธิบายแล้วก็แนะนำการใช้ ดีนะที่คราวนี้ไม่โดนถามมาก เสร็จเรื่องก็เลิกงานพอดี

DAY 20 วันที่ 12.04.10
วันนี้เป็นวันแรกและวันสุดท้ายของการทำงาน ก่อนที่จะหยุดยาววันสงกรานต์ วันนี้เป็นอีกวันที่ว่างมาก ตอนเช้ามีหมอดินประจำอำเภอบางปะกง ชื่อหมอไก่ มาติดต่อเรื่องกากน้ำตาลกับน้าบุญธรรม จากนั้นก็ไม่มีอะไรทำ ตอนบ่ายฝนทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตก ตอนสี่โมงครึ่งระหว่างกำลังอ่านการ์ตูนเรื่อง PastTel แบบลุ้นระทึก ว่าเพระเอกจะบอกรักนางเอกสำเร็จมั้ย พี่ที่ห้องธุรการ พี่จุ๋มก็เข้ามาบอกว่ามีฝรั่งมาขอหญ้าแฝก งานเข้าเลย จะคุยกันรู้เรื่องมั้ย ฝรั่งพูดอังกฤษเราก็ตอบสวนไปด้วยภาษาไทยล้วนๆ แต่พอที่จะฟังออกว่าเขาต้องการหญ้าแฝกไปปลูกป้องกันดินพังทลาย เลยต้องโทรตามน้าบุญธรรมมาช่วย น้าบุญธรรมแกออกแนวลูกทุ่งแต่แกพูดอังกฤษได้ เลยคุยกับฝรั่งสบายเลย จากนั้นก็ไปขุดหญ้าแฝกให้ฝรั่งได้ไปประมาณ 500 ต้น ฝรั่งแกชื่อ จิม แชตแมน เสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาเลิกงานพอดี

DAY 21 วันที่ 19.04.10
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกหลังจากหยุดสงกรานต์ แล้วก็เป็นเหมือนเดิมคือว่างมากๆ ตอนเช้ามีเจ้าของบ่อเลี้ยงปลาพักตร์ดีฟาร์ม มาขอพด.2 ยกกล่อง เลยต้องไปเอาให้ที่โรงเก็บ กลับมาที่ห้องพี่หนูจันทร์บอกว่า คอมที่ใช้อยู่ประจำน๊อกไปแล้ว เครื่องค้างตลอดทำไงก็ค้าง เปิดใหม่ก็ค้าง ตอนเที่ยงมีงานรดน้ำดำหัว ผอ.เขต เลยยกกองไปเขตกันหมด ไปที่ชลบุรี อ่าวอุดม สถานีพัฒนาที่ดินเขต 2 ไปถึงบ่ายสอง เข้าร่วมรดน้ำผอ.เขต แล้วก็เล่นสงกรานต์กันนิดหน่อย แวะไปขนพด.1ที่โรงเก็บมา 60 กล่อง จากนั้นก็กลับสถานี วันนี้เป็นวันไหลที่พัทยารถเลยเยอะนิดหน่อย ขากลับแวะกินข้าวที่ห้างโรบินสัน เดินดูของ แล้วก็กลับสถานี ถึงสถานีเกือบห้าโมงแล้ว เลยไม่มีเวลาดูคอมเลยแล้วพรุ่งนี้จะทำไงดี

DAY 22 วันที่ 20.04.10
เป็นอีกหนึ่งวันที่แสนเซ็ง เพราะคอมที่ใช้มันพังไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่มีคอมให้เล่นเลย ตอนเช้าไปช่วยพี่อ๊อดจัดห้องประชุมเตรียมงานประชุมฝึกอบรมเกษตรกรพรุ่งนี้ วันนี้สถานีเลยวุ่นวายนิดหน่อย เสร็จแล้วก็มานั่งเซ็งเหมือนเดิมเพราะไม่มีคอมเล่นยังดีตอนเย็น คอมเครื่องอื่นว่างเลยได้เล่นแก้ลงแดง แต่การ์ตูนเรื่องพาสเทล Pastel ที่อ่านอยู่ดันจบตอนซะแล้วต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะออกตอนใหม่อุตสาห์สมัครเป็นสมาชิกบ้านพาสเทล


DAY 23 วันที่ 21.04.10
วันนี้มาถึงสถานีตอนแปดโมงแปดนาที มาถึงก็ลงไปช่วยงานในห้องประชุมมีคนมาเข้ารับการฝึกอบรมเศรษฐกิจพอเพียงชุมชนครั้งที่ 1 ประมาณ 35 คน เต็มห้องพอดี ตอนเช้าวิ่งถ่ายเอกสารหลายเที่ยว แล้วก็กลับมานั่งฟังบรรยายถึงเที่ยง พักกินข้าวกลางวัน ถึงบ่ายก็เข้าฟังบรรยายต่อ คราวนี้ซวยหน่อย แอร์ตัวนึงดันมีหนูตายอยู่ในนั้นเลยเหม็นเน่าหึ่งเลย ต้องปิดแอร์เปิดหน้าต่างร้อนสุดๆ วันนี้ประชุมเลิกตอนสองโมง เสร็จงานก็กลับขึ้นมาเล่นคอมเครื่องอื่น อ่านการ์ตูนฟรี ตอนสี่โมงครึ่งที่สถานีจัดงานรดน้ำ ผอ. แล้วก็เล่นน้ำสงกรานต์ต่อ ร้องคาราโอเกะ กินเหล้า แต่ขอบายกลับก่อน รดน้ำเสร็จก็กลับเลย พรุ่งนี้งานประชุมครั้งที่ 2 แต่ตอนเช้าพรุ่งนี้มีภารกิจออกหน่วย

DAY 24 22.04.10
วันนี้มาถึงสถานีเจ็ดโมงครึ่ง เตรียมตัวไปออกหน่วยกับพี่สายรุ้ง ในหน่วยของพี่ปิยมิตร คราวนี้ไปกันหลายคน ไปที่ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยวไปถึงงานก็แบบเดิมๆ คือแจกปุ๋ยพด. แจกหมดเมื่อไหร่ก็กลับสถานี คนที่นี่ส่วนใหญ่เรียกว่า 52 % เป็นอิสลาม แจกเสร็จก็เที่ยงพอดีกลับถึงสถานีก็บ่ายโมงกว่า วันนี้มีงานประชุมเกษตรครั้งที่ 2 ต่อจากเมื่อวาน เลยเข้าไปนั่งฟังบรรยายต่อ วันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปศุสัตว์ โรคสัตว์ แล้วก็เรื่องของไก่ บรรยายเสร็จก็เกือบสามโมงตอนสุดท้ายเป็นการสาธิตวิธีการทำปุ๋ยพด.2 เสร็จแล้วก็เลิกประชุม กลับขึ้นสำนักงานไปนั่งเล่นคอมจนถึงสี่โมงครึ่ง พรุ่งนี้มีภารกิจออกหน่วยที่บางคล้า

DAY 25 23.04.10
วันนี้เป็นอีกวันที่ได้ออกหน่วย มาถึงสถานีเจ็ดโมงครึ่ง นั่งรอพี่อ๊อดแล้วก็ออกไป แวะเติมลมยางที่ปั๊มน้ำมันข้างสถานี เป้าหมายแรกของวันนี้ส่งปุ๋ยพด.ลงที่เกษตรอำเภอ จากนั้นก็ไปที่งานอบรมที่อำเภอบางคล้า อยู่ตรงตลาดน้ำบางคล้า ไปเดินดูตลาดสักพักวันนี้ตลาดปิด เปิดเฉพาะเสาร์อาทิตย์ เก้าโมงครึ่งพี่อ๊อดก็ขึ้นบรรยาย เราก็ทำหน้าที่ถ่ายรูป แล้วก็แจกเอกสาร คนที่มาส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน 30 กว่าคนได้ ส่วนใหญ่สนใจเรื่องพด.2 เพราะเป็นตัวที่ทำง่าย แล้วก็ใช้ได้อเนกประสงค์ บรรยายเสร็จก็ สิบเอ็ดโมงครึ่งได้ ขากลับแวะไปเอารายชื่อเกษตรที่มาขอปุ๋ยพืชสดจากหมอดิน แล้วก็แวะไปบ้านพี่อ๊อดไปขนปุ๋ยพด.2 ขึ้นรถไปส่งให้ที่สถานี แวะกินข้าวเที่ยงเป็นเกาเหลาเนื้อธัญรส ข้างทาง ถึงสถานีก็บ่ายโมงครึ่งได้ เอาปุ๋ยไปเก็บที่โรงเก็บคราวนี้ขอ พด.2 ไปใช้ 3 ขวด เสร็จงานก็เข้าไปในสำนักงานไม่มีใครอยู่เลยนั่งเล่นคอมรอพี่ๆ เค้ากลับมา สักพักพวกพี่ๆก็กลับมา เลยหายเงียบเหงาคุยเล่นกันสนุกดี พี่หนูจันทร์ เอา Arc GIS มานั่งเล่น ส่วนเราก็พยายามซ่อมคอม แต่ไม่ได้ผล เลยไปนั่งเครื่องอื่นแล้วก็อ่านการ์ตูนฟรี กับเล่น Facebook แล้วก็ดูเว็บศพโคตรน่ากลัวใช้ได้เลย กำลังอ่านๆ หน้าต่างในห้องก็ลั่นเหมือนมีอะไรมากระแทก เลยเลิกอ่านแล้วก็ปิดคอมกลับบ้านพร้อมพวกพี่ๆ เลย
DAY 26 วันที่ 26.04.10
วันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ ที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว แต่วันนี้เป็นวันจันทร์ตอนเช้าก็ว่างตลอดไม่มีอะไรทำ อากาศก็ร้อนอบอ้าวมาก ตอนบ่ายมีงานพิมพ์เอกสารให้น้าบุญธรรม น้าแกเขียนสูตรพด.2 จำกัดเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังไว้แจกให้ชาวบ้าน เขียนเสร็จแล้วก็เอามาให้พิมพ์ แล้วก็แก้ไขตรวจทานให้เหมาะสม แล้วก็ปริ๊นออกมา ตอนสามโมงพี่ดาวรุ่ง กับพี่หนูจันทร์เอาเครื่องเคลือบบัตรออกมาใช้เคลือบรูป แต่เครื่องมันใช้ไม่ได้ ความร้อนไม่พอที่จะละลายพลาสติกเคลือบ ต้องใช้วิธีแบบเฉพาะกิจด้วยเตารีดผ้าใช้ได้ผลเหมือนกัน เคลือบบัตรเล็กๆ ได้ จากนั้นก็ว่างยาวจนถึงเวลาเลิกงาน

DAY 27 วันที่ 27.04.10
วันนี้เกษตรกรมาขอสารเร่งพด.2 หนึ่งราย เป็นอาจารย์อยู่แถว อำเภอพานทอง หลังโรงไฟฟ้าบางปะกง อยากทดลองใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำพด.2 วันนี้ท้องฟ้าเดี๋ยวก็ร่มเดี๋ยวก็ร้อน ตอนบ่ายมีฟ้าร้องเหมือนฝนจะตกแต่ไม่ตก พรุ่งนี้ที่สถานีมีงานฝึกอบรมเศรษฐกิจพอเพียงชุมชนครั้งที่ 3 ต่อจากครั้งที่แล้ว แล้วก็พรุ่งนี้มีภารกิจออกหน่วยกับพี่อ๊อด ตอน 11.00 น ไปวัดหัวสวน บรรยายให้เณรฟัง

DAY 28 วันที่ 28.04.10
วันนี้ก็อย่างที่บอกมีทั้งงานอบรมเกษตรกรครั้งที่ 3 แล้วก็ออกหน่วยตอน สิบโมงครึ่ง ตอนแรกแวะไปบ้านพี่อ๊อด ไปหาพ่อพี่อ๊อด นั่งคุยอยู่ที่บ้านพี่อ๊อดจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง ออกจากบ้านพ่อพี่อ๊อดก็แวะไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านนายแหย่ม ตรงตลาดบางคล้า เย็นตาโฟ อร่อยมาก จากนั้นก็ขับรถไปหาวัดหัวสวน หายากนิดหน่อย ถ้าไม่สังเกตให้ดีอาจเลยไปได้ วัดนี้มีงานบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ประมาณ 77 รูป ตลอด 1 เดือน สามเณรส่วนใหญ่อายุ 10 ปี ถึงแก่สุดก็ 22 ปี พี่อ๊อดทำหน้าบรรยาย เราก็ถ่ายรูปแล้วก็เปิดคอม สามเณรส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กอยู่ นั่งฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ตอนสามโมงก็ถึงตอนสาธิตทีนี้ล่ะสนุกวุ่นวาย เณรก็เณรเถอะกลายร่างเป็นลิง เล่นกัน ปีนขึ้นรก แย่งกันดู แกล้งกัน มั่วไปหมด กว่าจะถ่ายรูปได้แต่ละรูปยากมาก แต่ก็ทำกันจนเสร็จได้ ขากลับหลวงพี่ให้พระมาคนละ 2 องค์เป็นหลวงปูทวดทั้งสององค์ วันนี้เสร็จงานกลับถึงสถานีก็เกือบสี่โมงเย็น

DAY 29 วันที่ 29.04.10
วันนี้เป็นวันประชุมเกษตรกรครั้งที่ 4 แล้วก็เป็นครั้งสุดท้าย ตอนเช้าช่วยพี่สัมพันธ์ ปริ๊นรูปเสร็จแล้วก็ไปช่วยงานในห้องประชุม แล้วก็แวะไปดูเมนูอาหารของวันนี้ มีปลาทอด แกงเขียวหวานไก่ คะน้าหมูกรอบ ของหวานเป็นกล้วยบวชชี เก้าโมงแยกก็เริ่มมา แล้วก็บรรยายโดยวิทยากรจากสำนักงานเกษตร ตอนนี้วิ่งถ่ายเอกสารซะหลายรอบ บรรยายเสร็จก็เกือบเที่ยง ปิดการฝึกอบรม กินข้าวมื้อสุดท้าย แล้วก็บ้านใครบ้านมัน ฝ่ายเราก็เข้าไปเก็บของกลับขึ้นสำนักงาน ไปนั่งตากแอร์ อ่านการ์ตูน คุยกันจนถึงเวลาเลิกงาน วันนี้ตอนเช้าฝนตกแต่ไม่มาก

DAY 30 วันที่ 30.04.10
วันนี้เป็นวันที่แสนเมื่อย เพราะต้องนั่งทำตารางรายชื่อเกษตรกร ลอกลงในสมุดบัญชีหลายเล่ม ทำตั้งแต่สิบโมง ถึงบ่ายโมงครึ่ง ถึงได้กินข้าวเที่ยงเมื่อยมือมาก จากนั้นก็ว่างไม่มีอะไรให้ทำแต่ไม่มีคอมตัวไหนว่างเลย พี่เค้าทำงานกันหมด ลูกพี่หนูจันทร์เข้ามาในห้องถามพ่อแกว่าห้องน้ำอยู่ไหน แล้วก็กับมาบอกพ่อว่า พ่อๆ ไอ้จ้วด มันอยู่ในห้องน้ำ พี่หนูจันทร์เดินเข้าไปดูแล้วก็มาบอกว่าลูกตัวเงินตัวทองอยู่ในห้องน้ำ เลยตามเข้าไปดู ตัวมันเหมือนตุ๊กแกขนาดใหญ่ แต่หัวยาวกว่า สีดำสลับเหลือง ช่วยกันไล่ให้มันออกจากห้องน้ำ มันก็วิ่งมั่วเข้าไปในห้องรับแขก เข้าไปใต้โซฟา ยกโซฟาถึงเจอตัว พี่หนูจันทร์ใช้ไม้กวาด กวาดมันออกไปที่หน้าสถานี บ่ายสามโมงคอมว่างเลยได้นั่งเล่นคอม อ่านการ์ตูนต่อ

DAY 31 วันที่ 3.05.10
วันนี้ก็ว่างอีกแล้วไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเอาคู่มือฝึกงานมาเขียนใส่ข้อมูล ดูแล้วก็ปวดหัวไม่รู้จะใส่ข้อมูลอะไรดี ปวดหัวยังนึกอะไรไม่ออกสงสัยต้องกับไปนอนคิดที่บ้านช้าๆ จากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนอกจากอ่านการ์ตูน แล้วก็เล่น Face book แก้ปวดหัว

DAY 32 วันที่ 2.05.10
วันนี้เป็นวันอังคารก่อนวันหยุดที่ 5 พ.ค. หรือวันฉัตรมงคล วันนี้นั่งทำรายงานประกอบการฝึกงาน ตอบคำถามในรายงานจนเกือบครบทุกข้อ ทำไปนึกไปว่าที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้าง เขียนไปเขียนมาได้เกือบ 3 หน้า A4 ที่ผ่านมาดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรทำ แต่จริงๆ แล้วก็มีหลายอย่างที่ได้ทำ ได้เรียนรู้ ได้สัมผัสจริง เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ตอนบ่ายอาจารย์โทรมาบอกว่าจะมาเยี่ยมลูกศิษย์ วันที่ 12 อาทิตย์หน้า งานเข้าเลยต้องเตรียมข้อมูลอีกแล้ว เตรียมไว้ให้อาจารย์ดูว่าอยู่ที่นี่ได้ทำอะไรบ้าง เดี๋ยวต้องกลับไปนอนนึกที่บ้านอีกแล้ว สามโมงครึ่งมีเกษตรกรขึ้นมาที่สถานีถามหา ผอ.เสรี แต่ ผอ.ไม่อยู่ ก็ถามดูว่ามีอะไรให้รับใช้ครับ ก็ได้เรื่องว่าเกษตรกรรายนี้ต้องการปุ๋ยพืชสดถั่วพร้า ไปปลูกในนาข้าว แต่ตอนนี้ไม่มีหัวหน้าอยู่เลยซักคน พวกลูกหน่วยก็ไม่อยู่ เหลือเราอยู่คนเดียวนอกจากพวกห้องธุรการ เอาล่ะซิงานเข้าเลย ไหนๆ ก็ไม่มีใครแล้วเลยตามก็แล้วกัน ตอนแรกจะบอกว่าเป็นเด็กฝึกงาน แต่คิดดูแล้วถ้าบอกไปแบบนั้นคงไม่มีใครเชื่อถือ มากันหลายคนด้วย แต่งตัวอย่างกับวัยรุ่นดูไม่เหมือนเกษตรกรเลย แถมขับรถสี่ประตูอย่างหรู คนที่แก่ที่สุดเป็นข้าราชการบำนาญชื่อ “กิติคุณ” ตกลงเลยไม่ได้บอกว่าเป็นเด็กฝึกงาน แต่ขอเป็นนักวิชาการไปซักวัน เค้าถามเราก็ตอบแนะนำเท่าที่รู้ ไอ้ที่ไม่รู้ไม่บอก ไปอ่านเอาเองในเอกสาร สุดท้ายแจกถั่วพร้าไป 2 กระสอบ 100 กก.ได้ มีการต่อรองขอ 3 กระสอบแต่ไม่ให้หวง 2 กระสอบก็พอแล้ว แถมปุ๋ยน้ำพด.2 อีก 10 ขวด เสร็จงานก็สี่โมงพอดี วันนี้มาภารกิจส่งจดหมายของสถานีที่ไปรษณีย์ เลยออกจากสถานีตั้งแต่ สี่โมงแวะเติมน้ำมันไป 100 บาท ไปถึงไปรษณีย์ก็ประมาณ สี่โมงสิบ ส่งจดหมายเสร็จแล้วก็กลับบ้าน งานง่ายๆ

DAY 33 วันที่ 6.05.10
วันนี้ลุยงานกันแต่เช้ากับพี่อ๊อด งานอะไรเหรอ ก็เตรียมข้อมูลไว้หลอกอาจารย์ ถามเรื่องที่ยังไม่รู้กับพี่อ๊อด อย่างเรื่องวิสัยทัศของสถานี จุดเรียนรู้ในสถานี ที่เกือบลืมไปหมดแล้ว พอได้ข้อมูลก็ลงมือพิมพ์ พิมพ์ไปได้หน้านึง มีคนเตะปลั๊กคอมหลุดเครื่องเลยดับหมดทั้งห้อง เวรกรรมต้องนั่งพิมพ์ใหม่เครื่องมันกู้คืนมาให้แค่ 2 บรรทัด เลยใช้วิธีพิมพ์ไปก๊อปจากเว๊ปไป วิสัยทัศน์ของสถานีคือ “เป็นหน่วยในการบริการประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ในการ อนุรักษ์ฟื้นฟู ทรัพยากรดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อการผลิตสินค้าเกษตร และอาหารปลอดภัย” พิมพ์เสร็จส่วนแรกก็เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว วันนี้ขากลับแวะไปดูจุดเรียนรู้ทุกจุด จดชื่อทุกจุดเท่าที่เห็นก็มี จุดเรียนรู้ปุ๋ยหมัก ขยายพันธุ์ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยอินทรีย์กับมะยม ปลูกพืชพลังงานทดแทน ปลูกพืชสมุนไพรไล่แมลง ปลูกแก้วมังกร ปลูกพืชทนเค็มหรือโกงกาง ดูไปจนครบทุกจุด ขี่ป๊อปวนเล่นไปถึงโรงงานทำรองเท้าร้างที่รั่วอยู่อยู่ติดกับสถานี ขี่ต่อไปก็เจอด่าน เป็นฝูงหมาที่เจ้าของเลี้ยงไว้บนถนนร้าง เลยต้องหันหลังกลับ ขี้เกียจไปหาเรื่องกับหมา

DAY 34 วันที่ 2.05.10
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ นั่งเช็คชั่วโมงแล้ว ฝึกไป 34 วันคูณ 8 ชั่วโมง เท่ากับ 272 ชั่วโมงแล้ว กำหนดเดิมของวันสุดท้ายคือวันที่ 25 พ.ค. แต่มันช้าเกินไป เลยเลื่อนเป็นวันที่ 21 พ.ค. เท่ากับ 344 ชั่วโมง จริงๆ แล้วอยากเลื่อนให้จบในวันที่ 14 พ.ค. เท่ากับ 304 ชั่วโมง แต่มันพอดีเกินไป ฝึกถึงวันที่ 21 พ.ค. ก็ได้ วันนี้นั่งพิมพ์รายงานไว้อาจารย์ดูตอนมาเยี่ยม เสร็จแล้วก็มานั่งทำงานพิมพ์ตัวอักษร ก-ฮ ให้พี่ชวนเอาไว้ทำป้าย แล้วก็ทำเอกสารให้น้าบุญธรรม ตอนเที่ยงห้องธุรการยกกองไปข้างนอกกันหมดเลยเห็นว่าตลาดโรงเกลือ เหลือเรานั่งเฝ้าสถานีอยู่คนเดียว มีคนเข้ามาติดต่อที่ห้องธุรการ 2 ราย รายแรกเป็นไปรษณีย์มาส่งจดหมายเลยเซ็นรับไว้ รายที่สองเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมพัฒนาที่ดิน เอาเอกสารมาให้ผอ.เซ็น แต่ไม่มีใครอยู่เลย เซ็นไม่ได้แต่รับเรื่องไว้ให้ จากนั้นก็ไม่มีอะไรทำนั่งเล่นคอมอ่านการ์ตูนจนถึงสี่โมงครึ่ง ขากลับเอากล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปสถานีเก็บไว้ทำรายงาน



DAY 35 วันที่ 10.05.10
วันนี้อาจารย์มานิเทศฝึกงาน อาจารย์แกเลื่อนจากวันที่ 12 มาเป็นวันนี้ ตอนแรกว่าจะมาตอนบ่ายสอง นัดพี่อ๊อดกับน้าอภิชาตไว้เรียบร้อย แต่อาจารย์โทรมาตอนเกือบเที่ยงแล้วว่าจะมาถึงสถานีแล้ว แล้วก็มาจริงด้วย มาตอนมีลูกค้ามาขอสารเร่งพด.1 พอดี กำลังจัดพด.ให้ลูกค้าอยู่พอดี แถมพด.1 หมดต้องไปเอาที่โรงเก็บ ขี่ป๊อปไปหาป้าถวิลเจ้าหน้าที่คุมวัสดุ ป้าถวิลไม่อยู่ขี่ป๊อปตามหาก็ไม่เจอ ถามพี่คนงานก็ไม่เห็น ให้หยิบกุญแจไปเปิดเอาเอง คว้ากุญแจไปห้าพวง เอาไปก็ไม่รู้ว่าดอกไหน ไขเท่าไรก็ไม่ออก พอดีเห็นกล่องพด.1 วางอยู่ที่โรงรถเลยคว้าไปเลยของใครก็ไม่รู้ เสร็จเรื่องก็ขึ้นมาหาอาจารย์เอาข้อมูลที่สรุปไว้ให้อาจารย์คนละชุด แล้วอาจารย์แกก็ถามเหมือนอยากรู้ว่ามาฝึกงานได้อะไรบ้าง แล้วก็สัมภาษณ์พี่หนูจันทร์ พี่อู๊ดหัวหน้าฝ่ายธุรการ พี่อ๊อด เสร็จเรื่องก็เกือบบ่ายโมงกว่า อาจารย์กลับไปแล้ว ทีนี้ต้องมาทำรายงานเกี่ยวกับรายละเอียดของงานที่ทำ งานเข้าอีกแล้วแต่ก็ไม่ห่วง มีบันทึกฝึกงานที่เขียนไว้ทุกวันอยู่แล้ว อ่านดูก็จะรู้ว่าได้ทำไรไปบ้าง แบบจริงใจและไม่ปิดบัง ข่าวดีตอนนี้คอมที่นั่งประจำอยู่ตอนนี้เริ่มวิวัฒนาการ เปิดแล้วค้างใน 3 วินาที มาเป็นทำงานอยู่ได้เกือบ 20 นาที

DAY 36 วันที่ 11.05.10
วันนี้มาสถานีตั้งแต่แปดโมงมานั่งหารูปถ่ายตอนออกหน่วยของตัวเอง ตอนแปดโมงครึ่งน้าบุญธรรมเข้ามาชวนไปออกหน่วย เลยได้ไปออกหน่วยครั้งที่ 11 เก้าโมงครึ่งเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้วเอาพด.2 ขึ้นรถแล้วก็ไปกันเลยคราวนี้ไปกัน 2 คน นั่งรถปิกอัพสี่ประตูแต่แอร์เสียต้องเปิดกระจกวิ่ง ได้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ ไปถึงงานที่จัดงาน วัดโพรงอากาศ อำเภอบางน้ำเปรี้ยวก็เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ไปถึงน้าบุญธรรมก็ขึ้นบรรยายเลย วันนี้บรรยายเรื่องสูตรการทำพด.2 การฟื้นฟูดิน และการใส่ปูนมาร์ลแบบผิดวิธี บรรยายเสร็จก็เกือบสิบเอ็ดโมงครึ่ง แล้วก็แจกพด.2ให้กับเกษตรกร ทีนี้ล่ะงานยุ่งเลยเพราะต้องลงชื่อชาวบ้านคนเดียวทีนะคนไม่มีคนช่วยจด ยังดีมีคนช่วยแจกพด.2 ให้ได้ไปคนละ 5 ซอง เลิกประชุมกินข้าวเที่ยงที่งาน น้าบุญธรรมแกอยู่คุยต่อ ระหว่างรอเลยไปซื้อหนาวเย็นมากินถ้วยนึง แล้วก็เห็นขนนครกมาตั้งร้านขายใกล้ๆเลยลงซื้อกินดู รสชาติออกจะจืดๆ กินไม่หมดเพราะรู้อิ่มมาก จากนั้นก็กลับสถานี ขากลับน้าบุญธรรมแวะซื้อปลาตะเพียนไร้ก้าง แบ่งกันคนละตัวทอดมาแบบร้อนๆ แล้วก็ได้ค่าเบี้ยเลี้ยงอีก 100 นึง คุ้มเลย ขากลับจะถึงสถานีอยู่แล้ว พายุเข้าลมแรงมาก ถึงสถานีฝนก็ตกพอดี ตกหนักมากในรอบเกือบเดือนที่มันไม่ตกเลย เข้าสำนักงานก็มานั่งทำโลโก้กรมพัฒนาที่ดิน ให้น้าบุญธรรมด้วยการก๊อปปี้จากเน็ต วางแล้วก็ปริ๊นใส่กระดาษ A3 ตอนสามโมงครึ่งพี่อ๊อดก็เอางานมาให้ทำ เป็นงานวางตำแหน่งจุดเรียนรู้ภายในสถานีแล้วก็ปริ๊นออกมา เสร็จงานก็เกือบสี่โมงสิบแล้วกลับบ้านก่อน


DAY 37 วันที่ 12.05.10
วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมากเหมือนฝนใกล้ตกแต่ก็ไม่ตก เช้านี้มีคนเข้ามาในสถานีหลายคน รายแรกเป็นเกษตรกรที่ดูไม่เหมือนเกษตรเรียกว่าวัยรุ่นอายุน้อย ไว้ผมทรงรากไทรเข้ามาขอหญ้าแฝกไม่ปลูกป้องกันตลิ่งพัง แต่แฝกยังไม่มาส่งที่สถานีเลยให้ลงชื่อไว้ก่อน แฝกมาเมื่อไหร่ก็จะโทรเรียก รายที่สองเป็นตำรวจยศ พ.ต.ท. เข้ามาขอพด.2 ใส่เครื่องแบบครึ่งท่อนพกปืน.38 เข้ามาตอนยังไม่มีเจ้าหน้าพอดี เลยต้องออกไปรับแขกตามลำพัง โดนถามเหมือนโดนสอบสวนหลายเรื่องจนใกล้จะจนมุมอยู่แล้ว พอดีพี่สายรุ้งมาพอดีมีตัวช่วยแล้ว คราวนี้เห็นไปตำรวจเลยให้เยอะหน่อย พด.1 15 ซอง พด.2 30 ซอง ต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่ของทางหลวงชนบทมาส่งหนังสือขอหญ้าแฝกไปปลูกริมถนน ตอนบ่ายก็มีเจ้าของบ่อเลี้ยงปลามาขอพด.2 ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว แต่พอถามว่าเคยใช้พด.2 หรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าเคย แสดงว่าต้องรู้วิธีทำวิธีใช้แล้ว ง่ายเลยงานนี้ จัดพด.2ให้ไป 20 ซอง จากนั้นก็ว่างยาวมาถึงสี่โมงมีผู้หญิงเจ้าของปั๊มน้ำมันมาขอหญ้าแฝกกับพด.2 คราวนี้พี่อ๊อดอยู่ด้วยสบายเลย ให้มืออาชีพเค้าจัดการ เราแค่นั่งฟังอย่างเดียว เสร็จเรื่องก็สี่โมงจะครึ่งแล้ว พรุ่งนี้หยุดวันพืชมงคล

DAY 38 วันที่ 14.05.10
วันนี้เป็นวันครบ 304 ชั่วโมงแล้ว วันนี้ก็ไม่มีอะไรใหม่ ตอนเช้าเอาข้อมูลแผนที่ท่าตะเกียบมาดูแล้วก็เซฟเก็บไว้ มีเกษตรกร 2 รายมาขอพด.2 เป็นพนักงานเทศบาลท่าข้ามเคยมาขอไปครั้งนึงแล้วเลยจัดให้ไปคนละ 10 ซอง วันนี้พี่หนูจันทร์ พี่สายรุ้ง น้าบุญธรรมไปออกหน่วยสำรวจพื้นที่ที่ท่าตะเกียบ ว่าจะขอไปด้วย แต่ไปแล้วอาจกลับมืด 2 ทุ่มหรือเที่ยงคืน เพราะต้องไปดูบ่อน้ำขอเกษตรกรถึง 35 บ่อรอบท่าตะเกียบ เลยไม่ได้ไปด้วย จากนั้นก็ว่างตลอดเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น

DAY 39 วันที่ 17.05.10
วันนี้เป็นวันแรกของอาทิตย์สุดท้าย ตอนเช้าฝนตกหนัก แต่ตกไม่นานก็หยุด วันนี้งานก็ไม่มีนั่งทำข้อมูลในคู่มือฝึกงานเอาตารางลงเวลาไปให้น้าบุญธรรมเซ็น ตอนเที่ยงพี่ดาวรุ่งชวนไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ตรงแยกบางวัว ไปกัน 5 คน มีพี่หนูจันทร์ พี่ดาวรุ่ง พี่สายรุ้ง พี่จุ๋ม เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ไปกินอาหารใต้ รสชาติก็พอใช้ มีไก่ทอดอิสลาม น้ำพริกไข่ทอดชะอม กินเสร็จกลับสถานี ก็เกือบบ่าย แล้วก็ว่างเหมือนเดิม แต่พรุ่งนี้มีภารกิจออกหน่วยกับพี่หนูจันทร์ ที่ท่าตะเกียบตอนหกโมงเช้า



DAY 40 วันที่ 18.05.10
วันนี้เป็นวันที่ 40 ตอนเช้าป๊อปเครื่องน๊อกเลยต้องขี่ป๊อปแก่สีชมพูอีกคันมาทำงาน มาถึงสถานีตอนหกโมงเช้า เพราะวันนี้มีงานออกหน่วยที่ท่าตะเกียบกับพี่หนูจันทร์ พี่สายรุ้ง ออกจากสถานีตอน 06.15 น ไปแวะที่ศูนย์พัฒนาที่ดินเขาหินซ้อนรับเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ดิน 2 คน เป็นผู้หญิงไปร่วมงานด้วย ไปถึงอ่างเตยก็เกือบเก้าโมงครึ่ง แวะไปกินข้าวที่ร้านเล็กๆ กินไปคุยไป คุยถึงเรื่องเสื้อแดงพูดถึงในทางลบ อยู่ๆ เด็กในร้านก็กระแทกถาดเสียงดัง แต่ก็อาจเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วเราก็คุยเรื่องเสื้อแดงต่อ กินเสร็จก็ไปที่งานประชุมเกษตรกร เกือบสิบโมงครึ่งแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ของเขาหินซ้อนพูดก่อน เรื่องการเก็บตัวอย่างดิน จากนั้นพี่หนูจันทร์บรรยายเรื่องการใส่ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพืชสด บรรยายเสร็จเกือบเที่ยง จบการประชุมช่วงเช้าร่วมกินข้าวเที่ยงกับชาวบ้าน จากนั้นก็ไปต่อที่งานประชุมเกษตรกรที่หมู่บ้านชมพูไปสาธิตการทำปุ๋ยพด.1,2 งานนี้เลยได้ลงมือทำปุ๋ยของจริงเลย เริ่มจาก พด.2 ทำจากกระท้อนบด จับกระท้อนใส่เครื่องปั่นคูโปต้า ทีเดียวแหลกไม่เหลือ ใส่ลงถังหมักใส่กากน้ำตาล พด.2 น้ำ คนให้เข้ากัน ปิดฝาหมักทิ้งไว้เรียบร้อย ต่อมาเป็น พด.1 อันนี้วัถตุดิบส่วนใหญ่เป็นขี้ ขี้วัว ขี้ไก่ แกลบ เอามาคลุกเคล้าผสมกัน ใช้ทั้งจอบทั้งมือ จับกันให้เห็นๆ แล้วราดด้วยพด.1 ละลายน้ำให้ชุ่ม ชาวบ้านชอบมาก เสร็จงานก็เกือบบ่าย ขากลับพาเจ้าหน้าที่เขาหินซ้อนไปหาซื้อกล้วยไม้ที่พี่เค้าอยากได้ ไปหาถึงบ้านพี่หนูจันทร์ แต่ซื้อไม้ได้เพราะเขาขายต้นละ 1000 แพงซื้อไม่ไหว เลยต้องกลับ แวะไปส่งพี่เจ้าหน้าที่ที่เขาหินซ้อนก่อน เลยนั่งพักกินโอวันติน มังคุด ทุเทียน เงาะ ก่อนกลับที่เขาหินซ้อน วันนี้กลับถึงบ้านเร็ว แค่หกโมงครึ่งเอง

DAY 41 19.05.10
วันนี้ต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าวัดไปทำงาน เพราะป๊อปยังซ่อมไม่เสร็จ เช้านี้กะว่ามีภารกิจออกหน่วยไปแจกควายที่ท่าตะเกียบ แต่ก็ยกเลิกไปเพราะพี่หนูจันทร์แกไปคนเดียว เลยไม่มีอะไรทำนั่งเล่นคอมดูข่าวเสื้อแดง ตอนเที่ยงพี่อู๊ต เข้ามาบอกว่าบอกว่าจะพาไปเลี้ยงส่งที่ MK ในโลตัส เปิดใหม่ตรงอมตะนิคมฯ เลยยกกองไปกินกัน ไปกัน9 คน มีพี่อู๊ต พี่ดาวรุ่ง พี่แหม่ พี่สายรุ้ง พี่บินทร์ พี่จอย พี่นา พี่จุ๋ม แล้วก็พี่สัมพันธ์ตามมีหลัง รวมเป็น 10 คน สั่งทุกอย่าง อย่างละ 2 ชุด มีเป็ดย่าง หมี่หยก แมงกะพรุน กินกันเต็มที่ ที่น่าแปลกในที่สุดคือ พวกพี่ๆ เค้าแอบเซอร์ไพร์ วันเกิดพี่อู๊ตวันนี้ด้วย เลยเป็นสองงานในงานเดียวกัน มีเค้ก ร้องเพลงวันเกิดในร้าน MK ทางร้านถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก กินกันจนอิ่ม เกี่ยงกันกินเป็ดเพราะมันเหลือ เลยหารสองกับพี่ป๊อบ อิ่มมากกินเสร็จเรียบร้อยก็สามโมง กลับสถานีก็มีแขกมาเป็นพนักงานบริษัทพานาโซนิคในนิคมฯเกตเวย์ มาติดต่อเรื่อง ต้องการวิทยากรไปบรรยายที่บริษัท วันที่ 4 มิถุนา บรรยายเรื่องการเอาเศษอาหารมาทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ พด.2 และเอาใบไม้มาทำปุ๋ยหมัก พด.1 แล้วก็ขอ พด.1,2,7 ไปใช้ ทางสถานีรับเรื่องไว้ แต่ต้องรองหนังสืออย่างเป็นทางการอีกที จากนั้นก็ว่างไม่มีอะไรทำ แต่พรุ่งนี้ 06.50 น ออกหน่วยที่สนามชัยเขต



DAY 42 วันที่ 20.05.10
วันนี้มาถึงสถานีตอนหกโมงครึ่ง เพราะวันนี้มีงานออกหน่วยที่สนามชัยเขตกับพี่จอยเป็นครั้งแรกด้วย คราวนี้ไปกันหลายคนมีพี่จอย พี่ชวนคนขับรถ พี่บินทร์ พี่สายรุ้ง พี่จุ๋ม รวมแล้ว 6 คน ไปรถสี่ประตูเลยไม่มีปัญหา ถึงงานลงของที่ซุ้มแล้วก็แจกเหมือนเดิม งานคลินิกเคลื่อนที่คราวนี้จัดที่ศูนย์วิจัยยางพารา วันนี้ร้อนอบอ้าวมาก แจกของเสร็จก็ไปเดินดูของในงาน ได้ใบมีกโกนกับน้ำมันล้างปืนมาขวดนึง จากนั้นก็กลับแวะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านลาบร้อยเอ็ดตรงข้ามสถานีรถไฟแปดริ้ว คราวนี้สั่งอาหารมากินหลายอย่างมี ตับหนาว ไส้หมูทอดกระเทียม ต้มแซม น้ำตก ข้าวเหนียว เข้าไปนั่งในร้านตอนแรกเด็กในร้านนึกว่าเราเป็นหัวหน้าเอาเบียร์มาให้เฉยเลย ตอนกินเสร็จก็เอาใบเสร็จมาให้อีก ผิดคนแล้วพี่จอยต่างหาก หัวหน้าตัวจริง ดูยังไงของมันนะ กินเสร็จก็กลับสถานีไปนั่งเล่นคอมพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว

DAY 43 วันที่ 21.05.10
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการฝึกงานชั่วโมงปกติ แต่ยังไม่จบภารกิจยังเหลืองานวันเกิดกรมพัฒนาที่ดินอีกหนึ่งงาน ตอนเช้าน้าบุญธรรมเข้ามาชวนไปออกหน่วยที่ท่าสะอ้าน แน่นอนว่าต้องไปอยู่แล้ว เก้าโมงเตรียมเอกสารเสร็จก็ไปกันเลย คราวนี้เอาวัตถุดิบไปสาธิตการทำ พด.2 ด้วย มีหัวปลาผสมกากน้ำตาล 10 กก. กลบกลิ่นเน่าไปหมดเลย ผักอีกหลายกิโล กากน้ำตาล สารเร่งพด.1,2 หนึ่งกล่อง ไปถึงจุดเรียนรู้ท่าสะอ้านเป็นงานประชุมเล็กๆ ไปนั่งรอชาวบ้านตั้งนาน มีคนมาแค่ 20 กว่าคนเอง น้าบุญธรรมแกก็บรรยายเรื่องการใช้ พด.2 ในการบำบัดน้ำเสียในบ่อปลา แล้วก็สาธิตวิธีทำให้ดูกันเห็นๆ เลย กากน้ำตาลคราวนี้คุณภาพสูงมากขนาดหัวปลาเน่ายังไม่ได้กลิ่นเหม็นเลย สาธิตเสร็จก็เกือบเที่ยงพักกินข้าวเที่ยงที่นั่น จากนั้นก็กลับสถานีมาถึงก็บ่ายโมงกว่าแล้ว นั่งเล่น คอมหาข้อมูลเรือรบโชนัน Cheonan ที่จมเพราะโดนตอร์ปิโดยิง แล้วก็ข้อมูลของเรือหลวงแสมสารลำที่หนึ่ง ที่มีลูกเรือตายในเรือหลายคน พอดีพี่ดาวรุ่งเข้ามาชวนไปตลาด เลยไปกันหมดเลย มีพี่หนูจันทร์คนขับรถ พี่สายรุ้ง พี่ดาวรุ่ง พี่บินทร์ รวมแล้ว 5 คนพอดี เป้าหมายที่แท้จริงของงานนี้คือ ห้าง Plus well เปิดใหม่ตรงอมตะนคร ที่ไปกินสุกกี้กันคราวก่อน ไปเดินดูของแล้วก็กินขนม เจอรุ่นพี่ในสาขาด้วย มาทำงานที่นั่นพอดี เดินดูแล้วก็ไม่รู้จะซื้ออะไรเลยลงมานั่งรอกับพี่หนูจันทร์ชั้นล่าง กินโรตีรอพวกผู้หญิงเค้าซื้อของ บ่ายสามเกือบครึ่งแล้วถึงกลับสถานี มาถึงก็ยังไม่สี่โมงเลยนั่งเล่นคอมต่อ จนถึงเวลาเลิกงานนัดกับพี่เค้าว่าอาทิตย์นี้ 09.00 น ไปงานวันเกิดกรม วันนี้ขากลับโดนไอ้หมาระยำไล่กวด 2 ตัว ทางก็แคบเลยกลับลำไปสู้ไม่ได้ ต้องหนีลูกเดียว

DAY 44 วันที่ 22.05.10
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการะกิจฝึกงาน และวันนี้ก็เป็นวันเกิดกรมพัฒนาที่ดินปีที่ 47 สถานีพัฒนาที่ดินของเราก็ต้องยอกองไปออกหน่วยที่กรมด้วย กรมอยู่ที่บางเขน กรุงเทพฯ ใกล้ๆ ม.เกษตร ขึ้นทางด่วนชลบุรีบางนา หน้าสถานีไปลงแยกเกษตรบางเขน ก็ถึงเกรมแล้ว เจอพี่อ๊อด พี่แก่น น้าบุญธรรมไปรออยู่ก่อนแล้ว ขายมะพร้าวอ่อน คุยกับพวกพี่เค้านิดหน่อยก็พากันมากินข้าวที่โรงอาหาร ลืมบอกไปคราวนี้มากับกลุ่ม พี่นิภา หรือพี่อู๊ต พี่ดาวรุ่ง พี่สายรุ้ง พี่จุ๋ม นั่งกินข้าวเสร็จก็เจอผอ.เสรี พอดีเลยต้องนั่งคุยต่อ ถึงเที่ยงก็แยกกับผอ. ไปเดินเที่ยวงาน เดินดูของตามซุ้ม เข้าไปดู นิทัศการณ์ ถ่ายรูปร่วมกัน แล้วก็เข้าไปดูที่พิศภัณฑ์ดินของประเทศไทย ในนั้นก็มีชุดดินต่างๆ ในประเทศไทยจัดแสดงไว้ให้ดู ดูเสร็จก็ออกไปเดินเที่ยวอีกรอบ คราวนี้มีพี่อ๊อด พี่แก่นด้วย เดินดูจนทั่วแล้วก็กลับบ้าน พี่ดาวรุ่งแยกตัวออกไปไม่ได้กลับด้วย เหลือกันอยู่ 4 คน มีพี่อู๊ต พี่สายรุ้ง พี่จุ๋ม กลับถึงสถานีก็เกือบสามโมง พรุ่งนี้ต้องเอารูปในกล้องไปให้สถานี วันนี้ตอนเย็นเช็ดแสง กับความชัดเรียบร้อย พี่อ๊อดได้ถ่ายรูปคู่กับพิธีกรหญิงตั้ง 2 คน
จบงานจบภารกิจสุดท้ายของการฝึกงาน 44 วัน 352 ชั่วโมง 15 ภารกิจออกหน่วย เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำไว้ไม่มีวันลืม ต้องขอบคุณพี่ๆ ในสถานีทุกคนที่ให้ความเอ็นดูเป็นอย่างดี ทั้งเรื่อง กิน เที่ยว ครบทุกรสชาติ ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่แตกต่างไม่มีในตำรา ได้ออกหน่วยเจอกับชาวบ้าน แลกเปลี่ยนความรู้กับชาวบ้านทั้งที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลย มีแต่ความรู้ในตำรา และที่สำคัญคือ การได้ลงไปเห็นไปสำรวจพื้นที่เกือบทั่วจังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อนหน้าที่จะมาฝึกงาน ในฉะเชิงเทรารู้จักอยู่แค่บางปะกง แปดริ้ว การออกหน่วยก็เหมือนกับการไปเที่ยว ไปดูสถานที่สำคัญๆ อย่างเขื่อนสียัด ไปกินของอร่อยในแต่ละที่เป็นเรื่องที่น่าสนุกทั้งนั้น สุดท้ายนี้คงไม่มีอะไรนอกจากคำขอบคุณคุณพี่ๆ ทุกคนสถานีพัฒนาที่ดิน ที่ได้ให้โอกาสมาฝึกงานที่นี่ ขอบคุณพี่ๆ ที่ให้ความไว้วางใจในการทำงาน
KSWAN

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

What ever will be

การผลิตน้ำประปา

การผลิตน้ำประปา

น้ำประปา หมายถึงน้ำเป็นที่ผ่านขบวนการบำบัดทั้งทางเคมีและชีวภาพต่าง ๆ มากมายจนสะอาดปราศจากเชื้อโรคสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ กระบวนการผลิตเริ่มจากขั้นตอนพื้นฐาน 6 ขั้นตอน คือ

1.การสูบน้ำดิบ
โรงสูบน้ำแรงต่ำจะทำการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อลำเลียงเข้าสู่ระบบผลิต น้ำดิบที่สามารถนำมาผลิตน้ำประปาได้นั้นต้องเป็นน้ำที่ไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกปนเปื้อนเกินกว่าที่กำหนด และต้องมีปริมาณมากเพียงพอ ที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง
แหล่งน้ำดิบ (Raw Water) ที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำประปา ได้มีการจำแนกชนิดของแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ตามลักษณะของคุณภาพของแหล่งน้ำดิบออก ได้เป็น
1. น้ำที่ไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ ( Water requiring no treatment ) จัดเป็นน้ำที่สะอาด สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้เลย ได้แก่น้ำบาดาล ที่ไม่ถูกปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก หรือสารเคมีต่างๆ
2.น้ำที่ต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น ( Water requiring disinfection only ) จัดว่าเป็นน้ำที่ใส และค่อนข้างสะอาด แต่ต้องทำการฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในน้ำก่อนที่จะใช้อุปโภคหรือบริโภค น้ำประเภทนี้ได้แก่ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ที่มีการปนเปื้อนเล็กน้อย มีค่า เอ็มพีเอ็น (MPN) ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 50 /น้ำ 100 มิลลิลิตรของแต่ละเดือน
3.น้ำที่ต้องผ่านระบบการกรองเร็ว และต้องการมีการเติมคลอรีนก่อนหรือเติมคลอรีนภายหลัง ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่ถึงชั้นน้ำในชนิดที่ 1 และ 2 มีค่าเอ็มพีเอ็น ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 5,000 / น้ำ 100 มิลลิกรัม ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่างที่ตรวจในเดือนใด ๆ น้ำชนิดนี้มักขุ่นและปนเปื้อนด้วยมลสาร
4.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพเพิ่ม นอกเหนือจากต้องผ่านระบบการกรองและเดินคลอรีนภายหลังแล้ว น้ำชนิดนี้ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น (preliminary treatment) โดยการทำให้ตกตะกอนก่อนด้วยการเก็บกักไว้เป็นเวลา 30 วัน และต้องมีการเติมคลอรีนก่อน (pre-chlorination) น้ำชนิดนี้มีค่าเอ็มพีเอ็น เกินกว่า 5,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่าง แต่ไม่เกินกว่า 20,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 5% ของน้ำตัวอย่างที่เก็บมา
5.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพิเศษ ( Water requiring unusual treatment measures ) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่จัดอยู่ในประเภททั้ง 4 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็นเกินกว่า 250,000 /น้ำตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร




2. การปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ

น้ำดิบที่สูบเข้ามาจะถูกผสมด้วยสารเคมี เช่น สารส้มและปูนขาว เพื่อทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ สารละลายสารส้มจะช่วยสารแขวนลอยในน้ำ ตกตะกอนได้ดีขึ้น สารละลายปูนขาวจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายในน้ำ บางครั้งอาจมีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคปนเปื้อนมากับน้ำ

3. การตกตะกอน

ขั้นตอนนี้จะปล่อยน้ำที่ผสมสารส้มและปูนขาวแล้ว ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อทำให้น้ำกับสารเคมีรวมตัวกันจะช่วยให้มีการจับตัวของตะกอนได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นน้ำเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่ถังตะกอน ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อพักร้อนทำให้เกิดน้ำนิ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากจะตกลงสู่ก้นถังและถูกดูดทิ้ง ส่วนน้ำใสที่อยู่ด้านด้านบนจะไหลตามรางรับน้ำเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

4. การกรอง

การกรองน้ำ จะใช้ทรายหยาบและทรายละเอียด เพื่อทำการกรองตะกอนขนาดเล็กในน้ำ และทำให้น้ำมีความใสสะอาดมากขึ้น ในขั้นตอนนี้น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว จะมีความใสมากแต่จะมีความขุ่นหลงเหลืออยู่ประมาณ 0.2-2.0 หน่วยความขุ่น ทรายที่ใช้กรองน้ำจะมีการล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพ

5. การฆ่าเชื้อโรค

น้ำที่ผ่านการกรองมาแล้วจะมีความใส แต่ยังมีเชื้อโรคเจือปนมากันน้ำ ดังนั้นจึงต้องทำการฆ่าเชื้อโรค โดยการใช้คลอรีน ซึ่งคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างดี น้ำที่ได้รับการผสมคลอรีนแล้ว เรียกว่า น้ำประปา สามารถนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ ประปาจะถูกเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่ เรียกว่า ถังน้ำใส เพื่อรอการจัดการจ่ายน้ำออกให้ประชาชนใช้ต่อไป
น้ำประปาที่ทำการผลิตมาแล้ว จะต้องวิเคราะห์ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจากนักวิทยาศาสตร์ และการตรวจสอบนี้จะทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้น้ำประปาที่สะอาด ปลอดภัย สำหรับการอุปโภคบริโภค

6. การสูบจ่าย

น้ำประปาที่ผลิตมาแล้ว จะต้องให้บริการถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ ด้วยการส่งน้ำผ่านไปตามท่อน้ำ ดังนั้นการสูบจ่ายน้ำจึงมีความจำเป็นมากเพื่อให้น้ำประปาสามารถส่งไปถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ น้ำประปา จะถูกส่งขึ้นหอสูง เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ ทำให้สามารถบริการได้ในพื้นที่ใกล้เคียง และในพื้นที่ห่างไกลออกไป
แหล่งที่มาของน้ำที่นำมาผลิตน้ำประปา

น้ำจืดในธรรมชาติ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล

1.น้ำผิวดิน (Surface Water) ได้มาจากน้ำฝนไหลรวมลงสู่แอ่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำ และไหลออกสู่ทะเล

2.น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground Water) เกิดจากการไหลซึมผ่านชั้นดินและทรายของน้ำผิวดิน ลงไปกักเก็บไว้ในโพรงชั้นหินที่มีรูพรุน ใช้เวลานับสิบนับร้อยปี หรือพันปี ระดับลึกตั้งแต่ 10 เมตร จนถึงหลายร้อยเมตร

น้ำฝนเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน เป็นน้ำกลั่นจากเครื่องกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ระเหยน้ำจากแม่น้ำ ลำธาร ทะเล มหาสมุทร ให้เป็นไอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจับตัวเป็นเมฆ หมอก กลั่นตัวเป็นน้ำฝน หิมะ ลูกเห็บ ตกลงสู่โลก เนื่องจากเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ จึงมีความสามารถในการละลายสูง เมื่อไหลผ่านพื้นดินที่ไม่มีต้นไม้คลุม จะเกิดการกัดเซาะตะกอนดินทำให้น้ำขุ่น หากทั่วทุกพื้นที่ประเทศมีแต่ต้นไม้ และพืชคลุมดิน น้ำผิวดินทั้งประเทศก็จะเป็นน้ำใต้ดิน การซึมผ่านชั้นดินชั้นทราย ยิ่งลึกมากน้ำก็จะยิ่งใสมาก
ความแตกต่างสำคัญระหว่างน้ำผิวดินและน้ำบาดาล คือ น้ำผิวดิน บางแห่งจะมีความขุ่นสูง แต่มีแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีน้อย ขณะที่น้ำบาดาลจะใส แต่ปริมาณแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีสูง เพราะน้ำใต้ดินผ่านการละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในชั้นใต้ดิน
น้ำบาดาลบางแหล่งมีแร่ธาตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพละลายปนอยู่ เช่น น้ำบาดาลภาคเหนือมีแร่ฟลูออไรด์สูง ดื่มแล้วทำให้ฟันตกกระ ดำ น้ำบาดาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอนุมูลคลอไรด์ ทำให้น้ำมีรสกร่อย เค็ม น้ำบาดาล กทม. และปริมณฑลที่ กปน. เคยใช้หลายแหล่งมีอนุมูลเหล็ก แมงกานีส ในรูปที่ละลายน้ำได้ เมื่อเปิดก๊อกใหม่ๆ น้ำจะใส พอได้สัมผัสอากาศ หรือคลอรีน ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้น้ำมีสีแดง น้ำตาลแดง ตั้งทิ้งไว้จะมีตะกอนเหล็กแมงกานีสสีแดง น้ำตาลแดง ซักผ้า ผ้าจะมีสี ทิ้งไว้นานๆ เครื่องสุขภัณฑ์จะมีคราบสีน้ำตาล และหลายแหล่งก็มีอนุมูลคลอไรด์ทำให้น้ำมีรสกร่อยด้วย นอกจากนี้ อนุมูลเหล็กยังทำให้น้ำบาดาลมีกลิ่นสนิมเหล็กเป็นลักษณะเฉพาะของน้ำบาดาลประการหนึ่ง
กลิ่นสนิมเหล็กนี้ ประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าเป็นกลิ่นคลอรีน ที่ร้องเรียนว่าน้ำประปาเหม็นคลอรีนนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะพบว่ากว่าร้อยละ 99 เป็นสาเหตุจากสนิมเหล็กในน้ำบาดาล หรือในน้ำประปาผิวดินจากเส้นท่อเก่าเป็นสนิมก็พบได้ แต่กรณีเส้นท่อเป็นสนิม เปิดก๊อกน้ำทิ้งอาการเหม็นจะหายไป กรณีจากน้ำบาดาลเอง เปิดทิ้งนานเท่าใดก็ยังได้กลิ่นอยู่
นอกจากปัญหาคุณภาพที่ทำให้น้ำบาดาลไม่เป็นที่นิยมแล้ว ปัญหาการนำน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณมากเกินไป จนน้ำผิวดินไหลซึมลงทดแทนไม่ทัน ทำให้เกิดการทรุดตัวทั่วทั้งผืน

ในส่วนของน้ำผิวดินก็มีปัญหามากมาย เช่นเดียวกับน้ำใต้ดิน การทิ้งสิ่งสกปรก น้ำเสียของชุมชนริมน้ำ วัตถุมีพิษทางการเกษตรของแหล่งเกษตรกรรม น้ำเสีย สารพิษ โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คุณภาพน้ำผิวดินของแหล่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำเสื่อมทรามลง อยู่ในสภาพเน่าเสียใช้อุปโภคบริโภคโดยตรงไม่ได้


ข้อดีของน้ำประปาเมื่อเทียบกับน้ำกลั่น

การประปาผลิตน้ำประปาที่ได้มาตรฐานน้ำดื่ม น้ำประปาจึงมีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับดื่ม มีปริมาณแร่ธาตุหลากหลายที่ได้สมดุลย์แล้ว เมื่อร่างกายรับเข้าไปสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ต่างไปจากน้ำกลั่นทั้งโดยความร้อน หรือโดยการกรองกลับ (Reverse Osmosis : RO) น้ำกลั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ มีอำนาจการละลายสูง โดยตัวของมันเองยังขาดสมดุลย์อยู่ เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายก็ต้องปรับสมดุลย์โดยการดึงแร่ธาตุต่างๆ ในร่างการออกมา น้ำกลั่นเป็นน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสำหรับการผลิตยา การเติมแบตเตอรี่ไม่ใช่มาตรฐานน้ำดื่ม จะมีประโยชน์อะไรกับความสิ้นเปลืองสำหรับการดื่มน้ำกลั่น ปราศจากแร่ธาตุเจือปน ในเมื่ออาหารที่เรารับประทานทุกวันมีทั้งแร่ธาตุ กากใย สารพิษ ซากพืช

อ้างอิง

http://reg10.pwa.co.th/pwa10/Knowledge/ProductChart.php © Copyright by งานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์
http://www.pwa.co.th/document/clorine.html ที่มา : วารสารการประปานครหลวง
http://images.google.com/imgres?imgurl
http://202.129.59.73/tn/khantron/new_page_4.htm

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คำตอบข้อสอบปลายภาคของ KSWAN ถูกรึป่าว? ไม่รู้ซิ!!!

ข้อสอบปลายภาค

Date: Thu, 24 Sep 2009 07:11:23 -0700
From: thaiscience2000@yahoo.com
Subject: ข้อสอบปลายภาค\
To: kamfared@hotmail.com

ให้แจ้งแก่นักศึกษาทั้งกลุ่ม
สอบปลายภาค การติดตามตรวจสอบฯ
ให้นักศึกษาพิจารณาโจทย์และคำตอบโดยรอบครอบ
โจทย์ กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน ถ้านักศึกษาที่เรียนสาขานี้เป็นคนในหมู่บ้านนี้ท่านจะทำอย่างไร ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงอธิบายประกอบทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

กำหนดส่งทาง e-mail 5 ตุลาคม 2552 ก่อน 12.ooน

กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน

การสืบสวนพบว่า ประเด็นที่น่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือ
1.แหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่กลางทุ่งนา
2.แหล่งน้ำแห่งนี้ถูกใช้ในกิจกรรมต่างๆของชุมชน
3.อยู่มาช่วงหนึ่งพบว่ามีผักตบชวาขึ้นเต็มแหล่งน้ำ
4.ช้างตายเพราะกินผักตบชวา

วิเคราะห์ประเด็นที่น่าสนใจ
1.แหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่กลางทุ่งนา เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า แหล่งน้ำแห่งนี้อาจมีการปนเปื้อนสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยที่ใส่ในนาข้าว เมื่อฝนตกน้ำฝนก็จะชะล้างสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยจากดินในนาข้าวแล้วไหลลงไปในแหล่งน้ำ จากข้อมูลที่ได้ในรายงานคาดว่าแหล่งน้ำแห่งนี้น่าจะมีลักษณะเป็นแหล่งน้ำปิด ที่มีทางน้ำเข้ามาในแหล่งน้ำ แต่ไม่มีทางน้ำออก ทำให้สารเคมีที่ใช้ในการเพาะปลูก เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ไหลลงมาในแหล่งน้ำแล้วเกิดการสะสมในแหล่งน้ำแห่งนี้ จนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ และชาวบ้านที่นำน้ำจากแหล่งน้ำแห่งนี้ไปใช้ ก็อาจได้รับอันตรายจากการปนเปื้อนสารปราบศัตรูพืช และปุ๋ย ดังนั้นประเด็นจึงมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อได้ว่ามีส่วนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

2.แหล่งน้ำถูกใช้ในกิจกรรมชุมชน จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีการปนเปื้อน สารเคมี อินทรีย์สารและ อนินทรีย์สาร ซึ่งอาจมาจากน้ำเสีย น้ำทิ้งจากกิจกรรมต่างๆในครัวเรือน เช่น น้ำซักผ้า น้ำล้างจาน เศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งลงในแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำมีการปนเปื้อน น้ำล้างจานและน้ำซักผ้ามีสารพวกไนโตรเจน กับฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่สามารถทำให้พืชน้ำเจริญเติบโตได้ โดยเฉพาะน้ำซักผ้า ในผงซักฟอกมีสารโซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่ลดความกระด้างของน้ำและเป็นตัวช่วยให้น้ำเป็นด่าง ป้องกันสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากเนื้อผ้า ไม่ให้ย้อนกลับมาเกาะเนื้อผ้าอีก และผงซักฟอกมีฟอสเฟตซึ่งเป็นอาหารของพืช เมื่อฟอสเฟตไหลลงสู่แหล่งน้ำ ฟอสเฟตจะช่วยให้สาหร่ายและพืชชั้นต่ำเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ จากข้อมูลดังกล่าวทำให้มีหลักฐานยืนยันได้ว่าประเด็นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน

3.อยู่มาช่วงหนึ่งพบว่ามีผักตบชวาขึ้นเต็มแหล่งน้ำ การที่มีวัชพืชขึ้นในแหล่งน้ำเป็นจำนวนมาก และเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วนั้นแสดงว่า ในแหล่งน้ำแห่งนี้ต้องมีพวกธาตุอาหารที่พืชชอบอยู่ในแหล่งน้ำเป็นจำนวนมาก ธาตุอาหารในแหล่งน้ำแห่งนี้ น่าจะมีทั้งพวกที่เป็นสารเคมี เช่นสารปราบศัตรูพืช ปุ๋ยที่ใช้ใส่ในนาข้าว เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโตได้ผลผลิตที่ดี เมื่อฝนตกลงมาทำให้เกิดการ ชะล้าง สารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำเกิดการสะสม สารเคมีที่เป็นอันตราย และปุ๋ยโดยเฉพาะฟอสฟอรัส และไนโตรเจนในแหล่งน้ำ แล้วยังมีน้ำเสียจากกิจกรรมในชุมชนร่วมด้วย
ฟอสฟอรัสและไนโตรเจน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของพืชน้ำ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ยูโทรฟิเคชั่น Eutrophication
Eutrophication คือการที่แหล่งน้ำสะสมธาตุอาหารที่กระตุ้นให้พืชบางประเภทเช่น สาหร่ายและวัชพืชในน้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยธาตุอาหารเช่น ฟอสฟอรัส และไนโตรเจนมาจากปุ๋ยที่ใช้ในนาข้าว และน้ำจากกิจกรรมที่ใช้ในชุมชน เช่น น้ำล้างจาน ก็มีส่วนประกอบของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในผงซักฟอกมีส่วนประกอบของโซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต เป็นสารที่ใส่เพื่อลดความกระด้างของน้ำและเป็นตัวช่วยให้น้ำเป็นด่าง ป้องกันสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากเนื้อผ้า ไม่ให้ย้อนกลับมาจับกับเนื้อผ้าได้อีก ชาวบ้านอาจจะซักผ้า ล้างจานแล้วก็เทน้ำทิ้งลงในแหล่งน้ำ หรือน้ำฝนอาจจะชะล้างเอาสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยลงสู่แหล่งน้ำทำให้เกิดจากสะสมธาตุอาหาร พืชชั้นต่ำพวกสาหร่ายในน้ำก็จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ปรากฏการยูโทรฟิเคชั่น ทำให้เกิดผลเสียกับแหล่งคือ เมื่อมีธาตุอาหารสะสมจำนวนมากในแหล่งน้ำ วัชพืชในน้ำก็จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ปกคลุมผิวน้ำปิดกั้นแสงสว่าง ทำให้แสงสว่างส่องลงไปถึงพื้นน้ำข้างล่างไม่ได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง เมื่อพืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ พืชเหล่านั้นก็จะตายลง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยกินพืชใต้น้ำเป็นอาหารไม่มีอาหาร สุดท้ายก็ต้องตายหรือย้ายไปอยู่ที่อื่น และสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้น ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เพราะในน้ำมีออกซิเจนน้อย เพราะมีวัชพืชขึ้นปกคลุมผิวน้ำปิดกั้นแสงสว่างไม่ให้ส่องไปถึงข้างล่างได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงเพิ่มออกซิเจนในน้ำได้
วัชพืชที่ปกคลุมผิวน้ำจำนวนมากนั้นมากจากธาตุอาหารที่มีอยู่ในแหล่งน้ำ ทำให้วัชพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วปกคลุมทั่วผิวน้ำ การที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ในแหล่งน้ำจำนวนมากก็แปลว่า พวกวัชพืชเหล่านั้นต้องการอาหารมาก สุดท้ายก็จะเกิดการแย่งอาหารกัน และเมื่อธาตุอาหารในน้ำหมดลง วัชพืชก็จะขาดอาหารแล้วก็ตายลงพร้อมกัน แล้วก็จมลงก้นแหล่ง ผลที่ตามมาก็คือวัชพืชจะเกิดการย่อยสลาย แต่เป็นการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้น้ำในแหล่งน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่ง และชาวบ้านที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำในการทำกิจกรรมต่างๆก็จะได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำนี้ได้
ซึ่งประเด็นก็สอดคล้องกับปรากฏการยูโทฟิเคชั่น การที่มีผักตบชวาขึ้นในแหล่งน้ำ ก็แปลว่าในแหล่งน้ำแห่งนี้มีธาตุอาหารให้พวกมันได้ใช้ในการเจริญเติบโต ผักตบชวาชอบพวกไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่ปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำ ผักตบชวาอาจหลงเข้ามาในแหล่งน้ำแห่งนี้ โดยบังเอิญ แล้วก็แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถพิเศษของผักตบชวา ที่ใบแต่ละใบจะสามารถรับแสงแดดอย่างเต็มที่เพื่อสร้างอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ต้นลอยอยู่ในน้ำทำให้หมดปัญหาเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงลำต้น รากของผักตบชวามีระบบรากที่แพร่กระจายและดูดแร่ธาตุในน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติผักตบชวาจะรวมกลุ่มกันอยู่แบบ เป็นแพลอยอยู่บนผิวน้ำ เมื่อมีคลื่นลม กระแสน้ำ ก็สามารถทำให้แพผักตบชวาแยกออกจากกัน ผักตบชวาจะแยกออกเป็นกอย่อยๆ เพิ่มความสะดวกในการขยายพันธุ์ ผักตบชวามีลำต้นที่มั่นคงไม่คว่ำได้ง่ายๆ แม้ว่าจะถูกลมพายุพัด เพราะมีโครงสร้างที่สมดุล มีกาบทำหน้าที่ห่อหุ้มใบช่วยป้องกันอันตรายต่างๆ ทนต่ออากาศหนาวเย็นที่ทำลายใบเหนือน้ำตายหมด แต่พออากาศอบอุ่นขึ้นลำต้นก็สามารถแตกหน่อใหม่ได้ กาบใบที่หุ้มลำต้นก็สามารถป้องกันไม่ให้ลำต้นขาดน้ำหรือแห้งตายได้ เมื่อแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่เกิดแห้งขอด ผักตบชวาก็สามารถปรับตัวด้วยการหยั่งรากลงในโคลนและลดขนาดของลำต้นจนกลายเป็นผักตบชวาแคระเมื่อมีน้ำในแหล่งน้ำ ผักตบชวาก็จะสามารถแพร่พันธุ์ได้อีก แม้ว่าต้นของผักตบชวาจะเสียหายหนักมากจากการถูกตัดเป็นชิ้นๆหรือฉีกขาดผักตบชวาก็ยังสามารถแตกหน่อได้อีก
ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าแหล่งน้ำแห่งมีธาตุอาหารไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก

3.ช้างกินผักตบชวาแล้วตาย

มีประเด็นอยู่ว่าช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน แล้วอีกวันต่อมาช้างป่วยตาย จากข้อมูลที่ได้รับเป็นได้อยู่สองเรื่องคือ หนึ่งช้างมันอาจป่วยตายเอง แล้วบังเอิญมีคนไปเห็นว่ามันไปกินผักตบชวาในแหล่งน้ำก่อนหน้านั้น แล้วตายในวันต่อมา สองเป็นเพราะช้างได้รับอะไรบางที่อยู่ในแหล่งน้ำนั้นจนป่วยตาย แล้วช้างได้รับอะไรในแหล่งน้ำ ก็อาจจะเป็นเพราะช้างกินผักตบชวาเข้าไป หรืออาจเป็นสารปราบศัตรูพืชที่อยู่ในแหล่งน้ำ ถ้าเป็นสารปราบศัตรูพืชที่อยู่ในแหล่งน้ำ ช้างน่าจะมีอาการพิษแบบเรื้อรัง หรือป่วยแบบเรื้อรังจากสะสมสารพิษมากกว่าที่จะตายทันทีหลังจากได้รับพิษภายในวันเดียว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าช้างได้รับพิษในปริมาณที่มากในครั้งเดียว จึงมีความเป็นไปได้ว่าช้างตายเพราะกินผักตบชวาเข้าไป
ตามปกติผักตบชวาจะขึ้นอยู่ในที่ที่มีอาหารมากๆ และอาหารที่ผักตบชวาชอบก็คือไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ผักตบชวามีความสามารถในการสะสมไนโตรเจน เมื่อช้างกินผักตบชวาเข้าไปมากๆ เพราะที่แน่นอนอยู่แล้วว่าช้างตัวใหญ่กินจุ ทำให้ไนโตรเจนในผักตกชวาที่ช้างกินเข้าไปมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดพิษได้ พิษของไนโตรเจนจะทำให้สัตว์ที่กินเข้าไปมีอาการตัวสั่น เดินโซเซ หายใจเร็วและตายเนื่องจากร่างกายขาดออกซิเจน แต่ในข้อมูลที่ได้รับไม่ได้บอกว่าตอนช้างตายนั้นมีอาการอย่างไร แต่ก็มีหลักฐานว่าก่อนตายช้างกินผักตบชวาเข้าไป ทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะสรุปว่าช้างตายเพราะไนโตรเจนในผักตบชวา

วิธีการแก้ปัญหาจากเหตุการณ์นี้

เริ่มจากกำหนดจุดตรวจวัดคุณน้ำที่ไหลเข้ามาในแหล่งน้ำ คุณภาพของน้ำในแหล่งน้ำ โดยการกำหนดจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำจะทำที่ จุดที่น้ำไหลเข้าในแหล่งน้ำ จุดที่น้ำไหลออกจากชุมชนเข้ามาในแหล่งน้ำ และจุดที่น้ำไหลเข้าชุมชน ด้วยการตรวจสอบตามฤดูต่างๆ ที่มีต่อแหล่งน้ำ เช่นฤดูฝน ทำให้สามารถได้ข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าน้ำเสียเกิดจากอะไร
สำหรับผักตบชวา อาจไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ ปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่ พออาหารในน้ำหมดพวกมันก็จะตายไปเอง แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนั้นผักตบชวาตายหมดก็จริง แต่จะทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย เพราะในน้ำแทบไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่การย่อยสลายผักตบชวาจึงเป็นกระบวนการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้น้ำเน่าและส่งกลิ่นเหม็น
การกำจัดผักตบชวาทำได้สองวิธีคือ กำจัดให้สิ้นซาก ทำได้ถ้ามีการแพร่กระจายที่ไม่มาก แหล่งน้ำไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มากวิธีนี้ก็หมดสิทธิ หรือใช้วิธีควบคุมปริมาณการแพร่กระจายให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดเมื่อไม่สามารถกำจัดให้หมดได้ วิธีควบควบคุมที่นิยมใช้กันก็คือ
สารเคมีกำจัดวัชพืช วิธีนี้ง่ายรวดเร็วได้ผลดีที่สุด แต่ต้องระวังอาจทำให้เกิดปลาตายหมู่ในแหล่งน้ำ และเป็นพิษกับผู้ใช้
ใช้แรงงาน คน สัตว์ เครื่องมือ เครื่องจักร ดึงขึ้นมาไว้บนบก แล้วค่อยหาวิธีทำลายต่อไป แต่วิธีใช้เวลานานมาก และสิ้นเปลืองแรงงาน น้ำมัน และเครื่องจักร
ประยุกต์วิธีกำจัด ขึ้นอยู่กับระดับสภาพพื้นที่และระดับสมองของหัวหน้าผู้สั่งการ เช่นถ้าพื้นที่เป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่อาจใช้เรือลากผักตบชวาเกินตื้นแล้วปล่อยให้แห้งตาย
สุดท้ายถ้าไม่สามารถแก้ไขได้ก็ใช้วิธีอยู่ด้วยกันดีกว่า ผักตบชวาไม่ได้ดีแต่โทษอย่างเดียวตัวมันมีประโยชน์มากมายถ้ารู้วิธีใช้ เช่นการที่ผักตบชวาสะสมธาตุอาหารไว้มากก็นำขึ้นมากสับทำปุ๋ยหมักใส่ต้นไม้ได้ หรืออาจนำมาแปรรูปเป็นเครื่องจักรสานก็ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละพื้นที่ ซึ่งที่จริงๆแล้วผักตบชวามีความสามารถบำบัดน้ำเสียได้ โดยมันจะดูดธาตุอาหารจากน้ำเก็บไว้ในตัวมันทำให้น้ำไม่เน่าเสีย แต่สุดท้ายจากแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์นี้ควรสร้างจิตสำนึกให้กับชาวบ้านหรือเกษตรกร ควรจะดูแลเรื่องน้ำเสียที่เกิดจากการกระทำของตัวเองให้ดี อย่ามักง่ายด้วยการทิ้งสิ่งสกปรกลงน้ำอย่างเดียว ถึงแม้ว่าช้างตาย เพราะกินผักตบชวาอาจเป็นเรื่องบังเอิญแต่ก็ควรที่จะป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาแก้ทีหลัง

เสถียร 50003259010

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ลงแบบเสียวๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบปลายภาคของ KSWAN ใครก็ได้ช่วยคิดที

Date: Thu, 24 Sep 2009 07:11:23 -0700
From: thaiscience2000@yahoo.com
Subject: ข้อสอบปลายภาค
To: sj-freedom@hotmail.com

ให้แจ้งแก่นักศึกษทั้งกลุ่ม
สอบปลายภาค การติดตามตรวจสอบฯ
ให้นักศึกษาพิจารณาโจทย์และคำตอบโดยรอบครอบ
โจทย์ กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน ถ้านักศึกษาที่เรียนสาขานี้เป็นคนในหมู่บ้านนี้ท่านจะทำอย่างไร ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงอธิบายประกอบทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

กำหนดส่งทาง e-mail 5 ตุลาคม 2552 ก่อน 12.ooน
sj-freedom@hotmail.com KSWAN

กลอนก่อนสอบ

ใครคนหนึ่งขอฝากถึงอาจารย์

อาจารย์โปรดเกล้า เมตตา
ศิษย์กราบงามสามครา สิบครั้ง
หวังท่านพิจารณา เกรดใหม่
D และ F โปรดยั้ง หยุดยั้งยอมมือ

เราก็ผู้หนึ่งผู้ รักเรียน
อ่านอ่านแทบเอียน โอษฐ์อ้วก
สิบตลบสิฝึกเขียน จนคล่อง
พอสอบดั่งบ้าใบ้ หน้ามืดตามัว

สุดกลัวตอบผิดแล้ว หรือเรา
ข้อสอบยากเกินเดา สุ่มได้
ไม่รู้แต่ท่านเอา ออกสอบ
แสนยากอยากร้องไห้ โหดมากจริงๆ

อิงเกณฑ์อิงกลุ่มก้อน เป็นไร ไป่ฤา
D และ F สิจี้ใจ เจ็บแท้
A B และ C ไป ไหนหมด
สอบเสร็จต้องกลับแก้ สอบซ้ำสุดซวย
>
>ขวยเขินเกินหยุดยั้ง ยืนยง
>แปลกแปลกข้อสอบงง เรียบร้อย
>ที่อ่านกลับมิตรง ที่ออก
>ที่ออกสิลิ้นห้อย ใกล้ฆ่าตัวตาย
>
>ไหว้ล่ะอาจารย์ผู้ ใจดี
>ก้มกราบสองอีกที อย่าร้าย
>เหอะเหอะอย่าถึงC เลยแม่ นาพ่อ
>ท้ายอาจไทร์เทอมท้าย สุดโง่โดนไทร์
>
>ใจจะวายโปรดจ้องเนตร ศิษย์ดู
>นึกว่าช่วยลูกงู ตกน้ำ
>หากได้(แฮ่ แฮ่)ไก่อู อบอร่อย
>มิได้อาจต้องช้ำ ชอกเนื้ออาจารย์สังเวียน


http://dek-d.com/board/view.php?id=562165

ใกล้สอบแล้วคงไม่แคล้วต้องคิดหนัก
ใจมันมักคิดไปไร้เหตุผล
อ่านตำราหัวหมุนวุ่นซะจน
จิตสับสนใจกังวลจนหงุดหงิด

พักสมองมองตำราน่าปวดหัว
อ่านจนมัวพันพัวกลัวจำผิด
โอ้ชีวิตข้าน้อยด้อยความคิด
วอนมิ่งมิตรมิ่งใจส่งยิ้มให้

ยิ้มสักนิดก่อนคิดทำข้อสอบ
ยิ้มอีกรอบนะเพื่อนอย่าเฉือนไฉ
ยิ้มอีกหน่อยเพื่อนเอยอย่าเหนื่อยใจ
ยิ้มใกล้ใกล้เพื่อนรักนักเรียนนอก (นอกเมือง)

สอบ Midterm ครานี้มีแต่ซ้ำ
เหตุเพราะคำอาจารย์วิจารณ์บอก
เป่าประกาศว่าฉันมันนักลอก
ใจซ้ำซอกเหลือเกิน เฮ้อ... เขินจัง

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem121301.html

ในวันนี้หรือ วันไหน ที่มีสอบ
แม้ ไม่ชอบ น่าเบื่อ แสนปวดหัว
ขอให้คิด ไว้ว่า เป็นเรื่องตัว
จะดีชั่ว อยู่ที่สอบ ใช่การเรียน

ในวันนี้หากเพื่อนที่มีสอบ
ขอให้ชอบ ตั้งตนอ่านหนังสือ
ถึงแม้อ่านน้อยนิดค่อยฝึกปรือ
ดีถือปากกาไม่อ่านเลย

ขอเตือนจิต เพื่อนๆ ในห้องสอบ
ให้ตัดออก เรื่องคิดที่นึกถึง
หากไม่ใช่ เรื่องเรียน ห้ามคำนึง
อย่าหลงตรึง ในสิ่ง เสียคะแนน

หากแม้เพื่อน สอบแล้ว ผลไม่ผ่าน
จงอย่าพร่าน เดินวุ่น ให้หุนหัน
จงเรียก บังคับให้ สติ กลับมาพลัน
กลับไปอ่าน กันมาใหม่ พร้อมทบทวน

หากแม้ ถ้า สอบผ่าน อย่าดีใจ
ให้รู้ไว้ มันต้องมี สักเรื่องที่อยากกว่า
ไม่มีเรื่อง ไหนไหน ที่ง่าย ตลอดมา
เรานั้นหนา ต้องรู้ตัว ทันเหตุการณ์

สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อน ทุกคน ที่พานพบ
อย่าหลีกหลบ ละลิ้งหนีปัญหา
สอบตก สอบใหม่ ได้ทุกเวลา
คิดไว้ว่า สอบผ่านตกเป็น ตลกให้เราชม

สอบผ่านสู้ๆ สอบตกสู้ใหม่


http://poem.deedeejang.com/category/20/8924-8924.html


เกรดAนั้นหายาก
ต้องลำบากจดโพยไป
นั่งลอกบานตะไท
ใช้ทั้งหมึกเปลืองปากกา
ต้องเก็บวางให้ไว
ซ่อนเอาไว้ที่ลับตา
เก็บไม่มิดFลอยมา
โอ้เธอจ๋าจำจงดี
กลอนต่อมา เป็นเพลงร.ร.เอดินเบิร์ก~
หาต้อนแบบได้จาก หัวขโมยแห่งบารามอส ภาคดาบแห่งกษัตริย์ นะฮร๊า
เพื่อคะแนนข้าจะขอห้าวหาญ
มุ่งเผาผลาญสมการตามใจหวัง
โพยคือทองลอกเป็นรอง2กำลัง
แสดงพลังลอกข้อสอบทุกวิชา
เพื่อคะแนนข้าจะขอองอาจ
มุ่งพิฆาตตรีโกนฯที่โหมบ่า
ขอปกปิดแผ่นคกตอบที่ลอกมา
สำนึกค่าโพยชั้นเยี่ยมที่ตนมี
เพื่อคะแนนข้าจะขอเปรื่องปราชญ์
ไม่ปล่อยให้โอกาสหายห่างหนี
เพื่อคะแนนข้านั้นขอยอมพลี
ทิ้งศักดิ์ศรีแอบลอกข้อสอบกัน
เพื่อคะแนนข้าจะขอสละ
อุสาหะด้วยแรงRandomมั่น
หวังจะนึกคำตอบไดโดยพลัน
ในหัวดันมีแต่ฝุ่นขุ่นหัวใจ
เรียงกันมาเลยนะ ท่อนแรก ป้อมอัศวิน ท่อน2 แผ่นดินประชาชน ทอ่น3ปราการปราชญ์ ท่อนสุดท้ายปราสาทขุนนาง~
กลอนต่อมา...
เบื่อคณิต เบื่ออังกฤษ เบื่อชีวะ
เบื่อพละ เบื่อสังคม อารมณ์เสีย
เบื่อคณิต เบื่ออังกฤษ คิดแล้วเพลีย
เบื่อยังงี้ เลยตกหมด6วิชา
ต่อมา เพลงปาเจรา (ภาคเปลี่ยนซะเละ 555+)
>>>ปาเจราวีดีโอโหตุ โทรทัศน์สรา ตำราบ่สน
>> ข้อขอเคารพน้องสักกา แด่โทรทัศนาจาร์ย และวีดีโอโป๊ศึกษา
>>ทั้งวิทยุผู้ประกาศวิชา อบรมจริยา แก่ข้าใจการปัจจุบัน
>>ข้าฯขอเคารพเทปทุกๆวัน 3ม้วน1วัน 1วันเรียน3วิชา
>>ชอเดชเครื่องถ่ายเอกสารมา อีกวิทยุพา ปัญญาให้เกินแตกฉาน
>>อุส่าห์มานั่งเรียนทุกๆวัน เรียนไปก็ปวดกบาล ฉะนั้นอย่าได้เรียนมันเลย (กราบ)
>>>ปัญญาต๊อกแต๊ก อิโหลโต๋เต๋ สอบไม่OK เลยเรียน8ปี
ต่อมา (คำไม่สุภาพเยอะมากๆ)- -"
นักเรียนดีเพราะครูด่า
ครูตายห่าเพราะด่านักเรียน
เพราะฉะนั้นเรามาร.ร.ให้ครูด่า
ครูจะได้ตายห่าทั้งร.ร.

ขอขอบคุณเจ้าของบทกลอนทุกท่านที่คิดได้อย่างสร้างสรรค์มากเลย ขอขอบคุณ KSWAN

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอนขำๆ

ถ้าเปรียบรักเหมือนกับฟัน ถ้ารัก คือ...ฟัน รักคงมั่น คือ...ฟันแท้ รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก รักโสโครก คือ...ฟันดำ รักถลำ คือ...ฟันเหยิน รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง รักร้าง คือ...ฟันหลอ รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง รักสีม่วง คือ...ฟันเก รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน รักสลอน คือ...ฟันแทรก รักแรก คือ...ฟันน้ำนม รักระบม คือ...ฟันผุ รักขิกขุ คือ...ฟันกระต่าย รักสลาย คือ...ฟันหลุด รักชำรุด คือ...ฟันสึก รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด รักสลด คือ...ฟันพลาด รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง รักปิดบัง คือ...ฟันชู้ รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า รักกะฮา คือ...ฟันเล่น รักไม่เป็น คือ...ฟันดะ รักเธอเสมอคือ..ให้เธอ ฟัน


คิดถึงเธอวันละ 100 ครั้ง
อยากส่งข้อความหาวันละ 100 หน
แต่ถ้าทำอย่างนั้นฉันคงจน
วันละ 100 หน หนละ 3 บาท...คงขาดใจ



อยากเป็นตุ๊กตาหมีให้เธอกอด
อยากเป็นทามาก๊อตให้เธอเลี้ยง
อยากเป็นทูตสวรรค์ข้างๆเตียง
อยากเป็นนกเอี้ยงคอยเลี้ยงเธอ


ใช่เป็นเพียงบทกวี ที่อ่อนไหว
แต่ส่วนหนึ่ง คือเสียงใจ ที่ขับขาน
ใช่เป็นเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน
แต่ในนั้นมีตดฉัน ล่องลอยไป


อันตัวเรานี้หนอก็ชอบจิ้ม
อยากจะลิ้มชิมรสความหรรษา
คิดดังนั้นจะช้าไปเสียเวลา
ใช้มือขวาจิ้มคีย์บอร์ดสุดยอดมัน


มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดหายไปสักสลึง
มีน้อยไปเป็นกรรมควรคำนึง
สามสลึงต้องอยู่ที่ศรีธัญญา



ม.เมียนั้นหายาก
ต้องลำบากไปจีบมา
ฝ่าตะพดของพ่อตา
อีกคำด่าของแม่ยาย
สินสอดและทองหมั้น
เงินทั้งนั้นที่เสียไป
ห้าทุ่มรีบดับไฟ
คืนกำไรให้ตัวเอง

อกเธอหัก รักได้ เพราะใจรัก
ขาเธอหัก รักได้ เพราะไม่สน
แขนเธอหัก รักได้ ไม่กังวล

สุดจะทน ดั้งเธอหัก รักไม่ลง



เมื่อมีคนตด กินคดกินขี้
ทุกอย่างช่วยพลี กินขี้แน่นอน
นอย หนอยหนอยนอยน้อย กินแห้วไปเลย

5ห้าห้าห้า...งงงงงงจ้งเลย


ในน้ำยังคงมีตัวปลา
ในนภายังคงมีดาวดวงสวย
ในตลาดมีพ่อค้าขายเต้าฮวย
ในใจคนสวยคนนี้ก็มีเธออยู่ร่ำไป

เปล่านะ... เปล่าทอดทิ้ง แต่ความจริงเจอคนใหม่
เปล่านะ...เปล่าเปลี่ยนจัย แค่มีจัยหั้ยอีกคน
เปล่านะ...เปล่าเลิกลา แค่เพียงว่ามันสับสน
เปล่านะ...เปล่ากังวล แค่ร้อนรนจนร้อนจัย
เปล่านะ...เปล่าเบี่อเทอ แค่อยากเจอน้อยลงปัย
เปล่านะ..เปล่าเป็นรัย แค่จิตจัยมัยเหมือนเดิม
เปล่านะ...เปล่าจริงจริง แค่บางสิ่งมันจะเริ่ม

เปล่านะ...เปล่าซ้ำเติมแค่เพียงเริ่มจะเปลี่ยนจัย
สามีคือเป้าหมาย
ผู้ชายคือทางผ่าน
แพศยาคือนิพพาน
ขึ้นคานคือตายทั้งเป็น



ตดดีๆ มีศิลป์ กลิ่นไม่เหม็น
ตดไม่เป็น ดังป้าด สาดเป็นฝอย
ตดวิบาก กากกระเซ็น เหม็นทั่วซอย
ตดอร่อย ตดเป็นเพลง บรรเลงเพลิน

ตดของเรา รุ่นเก่า เป็นเสียงเบส
มีบางวัน เหมือนทรัมเปต ที่แผดเสียง
ส่วนคืนนี้ ที่รัก ต้องคอเอียง
เพราะตกเตียง ด้วยตดเรา เป่ากระเด็น

พูดเรื่องตด เราคอหด ตดเกือบหาย
ตดไม่ดี ไม่ยอมถ่าย ไม่เป็นผล
อยากจะตด ต้องตดให้ ได้ยินยล
ว่าตดเรา ออกจากก้น พ่นสวยงาม

ตดให้ดัง จังหวะ ชะชะช่า
ตดดังกว่า ต้องแรง แบบแทงโก้
ตดแนวใหม่ ใช้แร็บ แต็บแต็บโชว์
ตดแบบเก่า แนวโก๋ แบบโคชรา

ตดของผม ดมได้ ไม่มีเสียง
ไร้สำเนียง รบกวน ชวนสยอง
แค่มีกลิ่น เล็กน้อย ให้คอยมอง
เราช่ำชอง ตดขมิบ กว่าสิบปี




ตดในตุ่ม ทุ้มเสียง เคียงเสนาะ
ตดในตู้ คงเพราะ แต่เก็บเสียง
ตดในลิฟท์ ขมิบแผ่ว แว่วสำเนียง
ตดแล้วเถียง ว่าเราป่าว คงเข้าที

ตดแล้วปล่อย ลมหวน ให้ชวนหาว
ตดแล้วนั่ง ดูดาว ยามคราวเหงา
ตดแล้วนั่ง อุดตูด ปู้ดเบาเบา
ตดแล้วเรา นั่งเศร้า เหงาคนเดียว


กุหลาบแดง คือ รักปักอก
กุหลาบตกคือรักที่สลาย
กุหลาบตายคือรักที่เดียวดาย

กุหลาบสุดท้ายคือรักที่ถูกลืม


ขอขอบคุณ เจ้าของกลอน http://www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=569688

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

บันทึก KSWAN 4 ขี่รถเล่น

บันทึก KSWAN 4 ขี่รถเล่น

หลังหัดขี่รถครั้งแรกจนเป็นแล้ว ก็ยังไม่ได้ขี่อีกเลยไม่ค่อยมีเวลา แต่วันนี้กลับจากมหาลัยเร็ว ห้าโมงครึ่งเอง ถามแม่ว่ารถมีน้ำมันรึป่าวแม่บอกว่ามี Ok เลย ติดเครื่องออกตัวมุ่งหน้าไปลานจอดรถหน้าเมรุเลย ขี่วนได้รอบเดียวก็รู้สึกเบื่อ เลยคิดหาอะไรสนุกๆทำ วันนี้เป็นวันพุธ มีตลาดนัดที่วัดกลางอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลได้ ไปเดินเล่นที่ตลาดดีกว่า ว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปเลย ตอนนี้ขี่รถเป็นแล้ว แต่ยังมีบ้างที่เผลอลืมตัวนึกว่าตัวเองขี่จักรยานอยู่ บางทีลืมไปว่าบนถนนไม่ได้มีเราคนเดียว เวลาเลี้ยวหรือเบรกต้องดูรถคันอื่นด้วย แต่ก็ไม่เป็นไรเรื่องแบบนี้ขี่บ่อยๆเดี๋ยวก็ชิน
ขี่ไปถึงตลาดนัดวัดกลางว่าจะเดินดูอะไรซักหน่อย พายุดันมา เมฆดำลอยมาเต็มเลยลมแรงมาก ต้องรีบกลับแล้ว แต่พอเลี้ยวกลับขี่มาได้ประมาณ 100 เมตร จู่ๆเครื่องก็ดับ รู้เลยทันทีว่ามันหมายถึงอะไร จอดข้างทางเปิดฝาถังน้ำมันดู ใช่เลยน้ำมันหมด ไหนแม่บอกว่ามีน้ำมัน แถมเราก็ไม่มีตังค์ซักบาทเดียว มือถือก็ไม่ได้เอามา เหลืออีกเกือบ 2 กิโลได้กว่าจะถึงบ้าน ฝนไล่หลังมาแล้วทำไงดี จูง!!! เป็นวิธีเดียวที่ใช้ได้ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ทั้งวิ่งทั้งเดินจูงมาได้ไกลเหมือนกัน เหลืออีกประมาณ 500 เมตร จะถึงบ้านแล้ว จูงผ่านหมาคู่อริสองสามตัวเมื่อก่อน มันชอบประลองความเร็วกับจักรยานของเรา แต่วันนี้มันยอมเปิดทางให้แต่โดยดี สงสัยมันขี้เกียจวิ่งไล่ ฝนตกหนักมากขึ้นมองไม่เห็นทางข้างแล้ว เลยตัดสินใจหลบเข้าร้านค้าข้างทางก่อนดีกว่า เจ้าของร้านก็ใจดีให้เราเข้าไปหลบฝนในบ้านเอาเก้าอี้มาให้นั่ง เราบอกเจ้าของร้านว่า ป๊อปของเราเครื่องมันน๊อกไปแล้ว อย่าไปบอกเค้าเชียวนะ ว่าน้ำมันหมด อายเค้า รออยู่ประมาณ 20 นาที ฝนก็หยุดตก เลยบอกเจ้าของร้านว่า ไปแล้วนะขอบคุณที่ให้หลบฝน แล้วก็จูงต่อไป เจอร้านค้าที่รู้จักกับเจ้าของร้าน เลยขอยืมน้ำมัน มา หนึ่งขวด ติดตังค์ไว้ก่อนเดี๋ยวมาจ่าย เจ้าของร้านก็ใจดี บอกเอาเลยตามสบาย เติมน้ำมันเสร็จก็ลองติดเครื่องดู วันนี้โชคดีที่มันยอมติดง่ายๆ แต่ต้องเร่งค้างไว้นิดหน่อย ปกติถ้าปล่อยให้น้ำมันหมดมันจะติดยาก ต้องจูง โช๊ค บิดคันเร่ง กระทืบอยู่หลายครั้ง แต่วันนี้โชคดีเครื่องมันติดง่ายขี่มาถึงบ้าน ก็หกโมงครึ่งพอดี เปียกไปหมดเลย แต่ก็สนุกดีเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งนั้น บทเรียนของวันนี้คือ เวลาออกจากบ้านอย่าลืมพกเงินแล้วก็เอามือถือไปด้วย แล้วก็ก่อนไปไหนหัดดูน้ำมันเสียก่อนว่ามีพอหรือเปล่า ไม่ใช่เล่นขี่อย่างเดียว น้ำมันหมดแล้วจะอายเค้า.

บันทึก KSWAN 3 หัดขี่รถ ( ป๊อปหัวจรวด ) ครั้งแรก

บันทึก KSWAN 3 หัดขี่รถ ( ป๊อปหัวจรวด ) ครั้งแรก

วันนี้เป็นวันแรกที่คิดว่าจะลองขี่มอ’ไซค์ แต่ที่บ้านมีแต่รถป๊อปหัวจรวด ไม่เป็นไรมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เคยคิดอยู่นานแล้วว่าน่าจะขี่มันได้ง่ายๆ อย่าหัวเราะ หรือสมเพช ที่อายุขนาดนี้แล้วเพิ่งจะมาหัดขี่ ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็ที่บ้าน กฎระเบียบ ข้อห้ามมันเยอะน่ะ เอาเหอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้น วันนี้ได้โอกาสแล้วเอาเลย ถามแม่ก่อนว่ารถมีน้ำมันรึป่าว แม่บอกว่ามีอยู่ครึ่งถัง Ok เลย! ครบองค์ประกอบ ลงสนามเลย ขั้นแรกติดเครื่อง ปัญหาแรกมาเยือนทันที เครื่องไม่ติด ยังไม่ได้ไปไหนเลยเวรกรรม ปกติเรารับหน้าที่ติดเครื่องให้แม่อยู่ทุกวัน แต่วันนี้ไอ้รถป๊อปมันทรยศซะแล้ว แม่เดินมาดู แล้วก็กระทืบทีเดียว! ก็ติดแล้ว ดูซิ สงสัยมันไม่อยากให้เราขี่มันมั้ง เครื่องติดแล้วเริ่มบทเรียนแรกออกตัว ออกตัวไปได้นิดเดียวเจอเด็กเล็กวิ่งตัดหน้าระยะกระชั้นชิด ดีได้ทดสอบเบรกเลย ไม่มีปัญหาเบรกนิ่มนวล ไม่มีอาการพิรุธว่าขี่รถครั้งแรก ถามว่าทำไม ก่อนหน้านี้ไม่หัดขี่รถ ตอบง่ายมาก ก็เราชอบขี่จักรยานมากกว่า จักรยานของเราเป็นแบบเสือภูเขา ของ LA ทั้งคันทำด้วยอะโลมิเนียม เบา ไม่เป็นสนิม มีชุดเกียร์สำหรับขี่ขึ้นเขา แล้วก็เกียร์สำหรับขี่ทางตรง เรื่องความเร็วไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว แถมยังเท่กว่าขี่รถป๊อปอีก เข้าใจแล้วหรือยัง
เด็กหลบไปแล้ว ทีนี้ก็ยิงประตูออกถนนเลย เป้าหมายของวันนี้มุ่งหน้าไปหาที่ฝึกขี่ที่เหมาะสม เราเลือกไว้แล้ว เป็นที่ๆเงียบ ไม่มีคนรบกวน กว้างพอสำหรับเร็วความเร็วเต็มที่ได้ ที่นั่นก็คือ ลานจอดรถหน้าเมรุ เป็นไงสถานที่ใช่ได้ม่ะ บรรยากาศ Ok เลย จริงๆแล้วไม่ต้องเรียกว่าหัดขี่รถก็ได้เพราะแค่นั่งคร่อมบิดคันเร่ง ก็วิ่งได้แล้ว ไม่เห็นยากตรงไหน แถมป๊อปที่เราขี่สายคันเร่งมันหย่อน ถ้าเบาเครื่องมากไปหรือปล่อยมือจากคันเร่งเครื่องมันจะค่อยๆดับไปเอง ต้องเลี้ยงคันเร่งไว้ตลอด แต่ถ้าเร่งมากไปมันจะพุ่งไปเลย เหมือนคนขี่รถไม่เป็นเค้าขี่กัน แต่มันก็ขี่ไม่เป็นจริงๆนี่หว่า ไม่ต้องห่วงพอเราได้ขี่ ก็เรียนรู้วิธีเลี้ยงคันเร่งแล้ว ไม่มีปัญหาเครื่องดับหรือออกตัวแบบพุ่ง แล้วทำไมไม่เอาไปซ่อม ก็ไม่มีเงินน่ะ เพิ่มซื้อเครื่องปริ๊นมาใหม่ ตังค์หมดเลย
ขี่อยู่หน้าเมรุจนชินมือแล้ว ก็ออกถนนขี่ไปบ้านญาติแล้วก็เลี้ยวกับ เจอญาติทักว่าจะไปไหน เราก็ตอบว่า เอารถมาลอง คันเร่งมันไม่ค่อยดี เรื่องอะไรจะไปบอกเค้าว่า มาหัดขี่รถ อายเค้าตาย แต่ขี่รถนี่มันก็ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย กระจอกมาก 5 นาทีก็เป็นแล้ว ง่ายกว่าจักรยานอีก แต่ยังไม่ถึงขั้นรู้ทางรถ สุดท้ายยังไงเราก็ว่าจักรยานเสือภูเขาของเรา มันก็ดูเท่กว่าอยู่ดี.



KSWAN

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

Kira & L

บทความจาก ต่วย’ตูน พอกเก็ตแมกาซีน ปีที่ 38 เล่นที่ 8

10 วีธีกำจัด “เมียหลวง” แบบแนบเนียน โดย “โปรดเถิดดวงใจ”

หนึ่งในบทสนทนา ในวงของบรรดาชาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ก็คือ การนินทาเมีย หลายคนแอบนิยามลับหลังว่า “แก่ง่าย ตายยาก”

ต่อไปนี้เป็น 10 สุดยอดวิธี ฆ่าเมียหลวง แบบแนบเนียนที่สุด เรามาดูกันว่า ที่ว่าแนบเนียนนั้น แนบเนียนอย่างไร?

วิธีที่ 1 เมียอยากไปเที่ยวไหน ขอให้พาไปโน่นไปนี่ ให้รีบตามใจเพราะว่าต้องมีซักที่แหละที่เดินลื่น เดินล้มหัวฟาดพื้นตายได้

วิธีที่ 2 เงินเดือนออกมาเท่าไรถวายไปให้หมด เงินในกระเป๋ามีเท่าไรให้หมด เพราะว่า ธนบัตรนั้นเป็นที่สะสมเชื้อโรคสารพัด เดี๋ยวเมียก็เป็นโรคตายไปเอง

วิธีที่ 3 อยากรับประทานกุ้ง หอย ปู ปลา หรืออะไร ซื้อให้กินไม่อั้น จนคอเรสเตอรอลสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด รับรองไม่เกิน 5 ปีตาย

วิธีที่ 4 ปลูกบ้านหลังใหญ่ บนพื้นที่กว้างๆให้เมียอยู่ กว้างๆยิ่งดี เวลาจะเดินจากห้องนั้นไปห้องนี้ทีจะได้เหนื่อย เผลอๆอาจหอบตายระหว่างทางก็เป็นไปได้

วิธีที่ 5 ถ้าเมียไปชอบรถยนต์คันโตๆ ยิ่งแพงๆ เครื่องแรงๆ ก็ยิ่งดี เวลาเมียขับอาจจะใช้ความเร็วสูงเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะได้ตายเร็ว

วิธีที่ 6 วันเกิดปีนี้ ซื้อเครื่องเพชรชุดใหญ่ให้ “ภรรเมีย” เอาแบบน้ำดีขาวจั๊วะ ใส่บ่อยๆแสงเพชรมันสะท้อนเข้าตามากๆเข้า เดี๋ยวตาก็จะบอดเอง
วิธีที่ 7 งานในบ้าน เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ต้องแย่งมาทำเองให้หมด อย่าเปิดโอกาสให้เมียทำ เพราะเท่ากับได้ออกกำลังกายทุกวัน สม่ำเสมอ ไม่นานเมียก็จะแขนขาลีบ กล้ามเนื้อลีบตายไปเอง

วิธีที่ 8 พยายามพาเมียไปหาหมอบ่อยๆแม้ยังไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไรมาก ตรวจเช็คบ่อยๆก็เจอโรคเองแหละ เดี๋ยวก็ตายแล้ว

วิธีที่ 9 ตื่นเช้าและก่อนนอน กราบเมียหลวงเช้าเย็นทุกวันๆ เพราะจะได้อายุสั้นตายสมใจ

วิธีที่ 10 บอกรักเมียให้มากๆบอกว่ารักทุกวัน เป็นไปตามพุทธศาสนาสุภาษิตที่ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” พอเมียทุกข์มากๆก็จะตรอมใจตายไปเอง...

คำเตือน:

1.โปรดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายตามวิธีที่ 1-6 ด้วยเพราะอาจจะหมดเนื้อหมดตัวเสียก่อนเมียตาย!!

2.โปรดอย่าใช้หลายวิธีในเวลาเดียวกัน ทดลองวิธีที่เหมาะสมกับวัยและระดับความดุของเมียหลวง มิฉะนั้นแล้วอาจจะตายก่อน!!

3.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะเป็นที่น่าสงสัยมากว่า...บรรดาเมียหลวงอาจเป็นคนคิด 10 วิธีเหล่านี้รึเปล่า???

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือต่วย’ตูน (โปรดเถิดดวงใจ)

KSWAN

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฝนเหลือง

ฝนเหลือง
ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี 2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้ ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง" ทั้ง ๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี 2506-2507 ออกมายืนยันว่า ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไทย ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก
ฝนเหลืองคืออะไร
ฝนเหลืองมาจากชื่อเล่นภาษาอังกฤษว่า Agent Orange เป็นสารผสมจากสารเคมี 2 ตัวคือ 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง คือ 2,4,5-T นี่เอง สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา ทำให้เกิดผื่นคัน ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำ สำหรับสาร 2,4-D มีชื่อเต็มว่า 2,4-dichlorophenoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง (Solid Class II, Moderately Hazardous๗ จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ จมูก และปอด ปวดแสบปวดร้อน ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง แสบตา ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก
ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกับ 2,4-D จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า สาร 2,4,5-T มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้ ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D และ 2,4,5-T มีสารประกอบสำคัญที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี non-biodegradable คือมีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ และ dioxin นี่เองที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก

พิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้
ดังกล่าวแล้วว่า สหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า มีสาร "ไดออกซิน" ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม (สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร) ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts per trilion) ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี 1994 (พ.ศ. 2537) แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประมาณ 3-8 เท่า มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากเวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency-EPA) นั้น ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป
พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ
"จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่ เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย" นาวาโทประเสริฐ น้ำฟ้า ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตรถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า Delaware ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานี่เอง ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ เคยเข้ามาทดลองสารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองบริเวณนี้ เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนาม นายเอนก กลิ่นน้อย อายุ 53 ปี ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย เปิดเผยว่า เมื่อปี 2506 สมัยที่มีอายุ 17 ปี เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมีและได้มีการนำไปโปรยในป่าใหญ่หลังค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเหมือนเหมือนเวียดนาม โดยทดลองอยู่เกือบ 1 ปี"สารเคมีที่นำมาผสมมี 3 ชนิด เป็นผงสีขาว ๆ และดำมีกลิ่นเหม็นมาก เวลากวนต้องใส่ถุงมือและหน้ากาก ช่วงทำงานผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน สมัยนั้นเรียกว่าโครงการใบไม้ร่วง ซึ่งเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย ต้นไม้จะตายอย่างรวดเร็ว" นายเอนกกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย. 42) ด้านเรือโทเมธี เพ็ญสาดแสง วัย 72 ปี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี 2508 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ช่วงทดลอง ทหารอเมริกันและคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง "สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว สารพิษยังไม่สลายตัว กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน" เรือโทเมธีกล่าว นอกจากนี้ทักษ์ เดชะปัญญา ประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหิน ซึ่งเคยเป็นล่ามและช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาระบุว่า การทดลองสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว ใช้ชื่อว่า "defoliate" หรือแผนใบไม้ร่วง ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าสารเคมีที่ขุดพบอาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่างวันที่ 23 มี.ค.-4 เม.ย. 2542 พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนช่วยตรวจสอบด้วย หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน นวล เภทยาภัชร ผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า พบไดเมทโธเอต (Dimethoate) และไตรอะโซฟอส (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก พร้อมทั้งยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า จากการตรวจสอบทั้งในระดับอนุภาคของตัวสาร ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมีแล้วไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T หรือแม้แต่ไดออกซิน สารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง สำหรับผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและบริษัทเอกชน ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน โดยสารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ Butylated Hydroxytoluene ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนห้องปฏิบัติเอกชนตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน ประกอบไปด้วยเบนซีน โทลูอีน เอทธิลเบนซีนและไซลีน ซึ่งเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมันและเป็นเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ดี กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและกลุ่มกรีนพีชนานาชาติ โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต เพื่อยืนยันลักษณะของสารเคมีและให้ประเทศที่เป็นเจ้าของออกมาแสดงความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล รีสอร์ชเซ็นเตอร์ เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนาม "เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้ ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ และต้องใช้งบประมาณสูง" เพ็ญโฉม ตั้ง จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้

ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่พบเป็นของใครและเป็นสารอะไรกัน คณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ โดยมีนายศิริธัญญ์ เป็นประธาน ก็พยายามที่จะให้บริษัทเจนโก้เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติปัญหาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยคาดว่าจะใช้จ่ายในเบื้องต้นถึง 30 ล้านบาท อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้แม้จะมีการลดงบประมาณเหลือ 16 ล้านบาทในเวลาต่อมา เพราะกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน "ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร" เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย. 42)
ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง" ที่มีการขุดพบ ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า เอเยนต์ออเรนจ์ ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า Thailand Defoliation Program หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย ช่วงระหว่างเดือน เม.ย. 2507-มิ.ย. 2508 บริเวณค่ายทหาร อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก โดยรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร รับทราบอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงเท่านั้น ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า นอกจากฝนเหลืองแล้ว สหรัฐฯ ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่น ๆ ด้วยเพื่อเปรียบเทียบกับสาร เอเยนต์ออเรนจ์ เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น โดยในการทดลองครั้งมีคนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการอยู่ด้วย 2 คน คือ นายเต็ม สมิธินันท์ นักวิชาการกรมป่าไม้ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว และนาย สมจิตร พงค์พงัน ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา โดยกล่าวเพียงว่า จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์
ในเวลาต่อมานายสมจิตรได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย ปี 2507 กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไรซึ่งจากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 42)
หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก 2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้ ซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมายอมรับในที่สุดว่า ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้ เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ
ด้านศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า "ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" (มติชน 5 เม.ย. 42)
"ไม่ใช่แต่กรณีของบ่อฝ้ายที่เดียวหรอก เท่าที่สังเกตดู ปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น มักจะรีบออกมาปฏิเสธ ในกรณีนี้ กรมควบคุมมลพิษอาจออกมาปฏิเสธเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว แต่กลับไม่คำนึงปัญหาเลยว่าจะก่อผลกระทบอย่างไรบ้าง" เพ็ญโฉมสะท้อนภาพวิธีการแก้ปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฝนเหลืองที่ว่าอันตราย บางทีก็ยังอันตรายน้อยกว่าระบบการแก้ปัญหาของราชการไทยเสียอีก

www.school.net.th/library/snet6/envi5/yellowrain/rainn.htm -

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

AIR

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552