เปิดรายงานใหม่ "แหล่งน้ำไทย" เสี่ยงมลพิษขั้นวิกฤติ!!!
By thaipost
Created 21 Mar 2552 - 22:31
วันที่ 22 มีนาคมของทุกปี เป็นวันน้ำโลก (World Water Day) ที่ทั่วโลกจะจัดกิจกรรมรณรงค์และส่งเสริมให้ผู้คนสนใจและเห็นถึงความสำคัญของแหล่งน้ำ การจัดการทรัพยากรน้ำให้เกิดความยั่งยืน ในโอกาสวันน้ำโลกนี้ กรีนพีซได้เปิดเผยรายงานชิ้นใหม่ตีแผ่วิกฤติมลพิษทางน้ำในประเทศไทย เพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายรับรู้สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและร่วมกันปกป้องแหล่งน้ำให้ปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารพิษ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน
ในรายงานผลการศึกษาเรื่อง "พื้นที่และแหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำในประเทศไทย" โดยหน่วยศึกษาและเฝ้าระวังมลพิษทางน้ำ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ศึกษาโดย ดร.อิศรา เจริญปัญญาเนตร นักวิจัยด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ระบุชัดเจนว่า ปัจจุบันพื้นที่ของประเทศไทยส่วนใหญ่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ ซึ่งหมายถึงผู้คนในเมือง ชาวบ้านต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย รายงานชิ้นนี้ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 92.68 ของพื้นที่ประเทศไทยเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ ในขณะที่ภาคตะวันออกมีสัดส่วนพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงสูงมากที่สุด ร้อยละ 35.64 รองลงมาคือภาคกลาง ร้อยละ 15.89 จังหวัดที่มีเนื้อที่เสี่ยงต่อมลพิษทางน้ำระดับสูงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร คิดเป็นร้อยละ 100 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด สมุทรปราการ สมุทรสาคร คิดเป็นร้อยละ 100 เช่นกัน ตามด้วยชลบุรี ร้อยละ 98.89 และระยอง ร้อยละ 97.78
พลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ อธิบายภาพรวมเกี่ยวกับวิกฤติมลพิษทางน้ำในไทยว่า ข้อมูลพื้นที่และแหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษ รวมถึงจำนวนประชากรที่อาจได้รับผลกระทบยังไม่มีการศึกษาอย่างแพร่หลาย แต่ข้อมูลจากการศึกษาครั้งนี้ผลออกมาว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเสี่ยงเกิดมลพิษทางน้ำ บริเวณที่มีความเสี่ยงสูงส่วนใหญ่มีความเป็นเมืองและอุตสาหกรรมสูง แม้อัตราส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งประเทศ แต่ส่งผลกระทบสูง เพราะเป็นบริเวณที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นมาก ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดมลพิษทางน้ำมากที่สุด คือ อุตสาหกรรม ทั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษทางน้ำ ปริมาณสารเคมีที่ใช้ในโรงงาน การใช้สารเคมีทางการเกษตร ความหนาแน่นของประชากร ปัจจัยด้านกายภาพมีตั้งแต่พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ความสูงของพื้นที่ แล้วยังพบแหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมลพิษนั้นกระจายอยู่ในทั่วทุกภาค "พื้นที่เสี่ยงส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ 4 ลุ่มน้ำหลักที่สำคัญมากของประเทศ คือ แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง แหล่งน้ำที่มีความเสี่ยงสูงล้วนเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมากของประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค เป็นเรื่องน่ากังวลมาก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงไหลผ่านปทุมธานี อยุธยา ที่ใช้ผลิตน้ำประปา กำลังอยู่ภายใต้การคุกคามของมลพิษ "
พลายกล่าวอีกว่า จากการศึกษาเกี่ยวกับมลพิษทางน้ำในแต่ละภาคปรากฏว่า ภาคกลางมีแม่น้ำ 4 สาย ที่ปัจจุบันยังไม่มีปัญหาคุณภาพน้ำ แต่มีความเสี่ยงสูงมากจะเกิดปัญหามลพิษทางน้ำในอนาคต คือ แม่น้ำนครชัยศรี แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำลัดเกร็ด แม่น้ำสุพรรณบุรี ภาคตะวันออก ได้แก่ แม่น้ำพระปรง แม่น้ำหนุมาน ภาคเหนือ ได้แก่ น้ำแม่แจ่ม น้ำแม่ฝาง แม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำแม่ลาว แม่น้ำแม่แตง และยังพบแหล่งน้ำนิ่งที่เสี่ยง คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ แม่น้ำชี แม่น้ำโขง แม่น้ำสงคราม ลำชี ลำเชิงไกร ลำโมใหญ่ ลำปลายมาศ ลำพระเพลิง ลำมูลน้อย ลำตะคองเก่า ห้วยหลวง แล้วยังมีเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนอุบลรัตน์ ส่วนภาคใต้ ได้แก่ แม่น้ำปากพนัง ทะเลน้อย และเขื่อนปัตตานี แหล่งน้ำทั้งหมดนี้จำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ผลการสำรวจยังพบว่า กว่าร้อยละ 99 ของหมู่บ้านในไทยที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งน้ำ อยู่สองฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีทั้งสิ้นประมาณ 10,001 หมู่บ้าน เสี่ยงจากมลพิษทางน้ำ ซึ่งอาจจะผลกระทบต่อประชากรมากถึง 4,440,049 คน และภาคกลางมีสัดส่วนหมู่บ้านเสี่ยงภัยมลพิษทางน้ำระดับสูงมากที่สุด ประชากรมีความเสี่ยงสูงถึง 2,925,726 คน
กรณีมลพิษทางน้ำ จ.ระยอง ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษคนเดิม ระบุว่า จากการศึกษาและติดตามมลพิษทางน้ำมาอย่างต่อเนื่อง พื้นที่มีปัญหารุนแรงและขยายวงกว้างออกไป ซึ่งรายงานฉบับนี้เป็นอีกหลักฐานที่แสดงว่าระยองมีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำสูง ร้อยละ 97.78 ของพื้นที่จังหวัด มีหมู่บ้านเสี่ยงภัยมลพิษกว่า 300 แห่ง หรือร้อยละ 78.44 ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านได้ถึง 454,551 คน มีแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำระยอง แม่น้ำประแสร์ แม่น้ำพังราศ รวมถึงแม่น้ำสายรอง ได้แก่ คลองหลอด คลองหินลอย คลองระเวิง คลองสะพาน คลองมะเดื่อ ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษถึงปัญหานี้ ฉะนั้น การประกาศบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน "จ.ระยองพบการปนเปื้อนโลหะหนัก สารอินทรีย์ระเหย ในแหล่งน้ำ เกิดจากการใช้สารเคมีปริมาณมากในโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง สารพิษยังปนเปื้อนในแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคกระจายทั่วพื้นที่ ทั้งน้ำใต้ดิน น้ำบาดาล ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ชาวบ้านพึ่งพิง แต่ปัจจุบันชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้แล้ว" สำหรับข้อเสนอแนะจากผลการศึกษาเรื่องนี้ "พลาย" กล่าวว่า รัฐบาลต้องตระหนักถึงปัญหามลพิษนี้และแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเร่งแก้ปัญหาในแม่น้ำลำคลองที่กำลังมีปัญหาในตอนนี้ และเฝ้าระวังจุดเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต พยายามลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษ มีการปรับปรุงมาตรการและเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมและป้องกันมลพิษให้มีประสิทธิภาพและเข้มข้นมากขึ้น ทั้งข้อกฎหมายและการบังคับใช้ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด หรือ Clean Production ที่สำคัญต้องสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและเฝ้าระวังแหล่งกำเนิดมลพิษ สร้างองค์ความรู้นี้ให้ชาวบ้าน และต้องกำหนดให้โรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะผู้ก่อมลพิษเปิดเผยข้อมูลการใช้สารเคมีและปริมาณการปล่อยมลพิษให้ประชาชนทราบ ที่ผ่านมาข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นปริศนา ถ้าข้อเรียกร้องนี้ได้รับการปฏิบัติจากกลุ่มอุตสาหกรรมจะช่วยให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เมื่อเกิดกรณีปนเปื้อนสารพิษในแหล่งน้ำ ข้อเสนอสุดท้ายภาครัฐควรตั้งเป้าหมายในการลดมลพิษที่ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ และมีแผนปฏิบัติการอย่างชัดเจน สำหรับรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์พื้นที่และแหล่งน้ำที่เสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำในประเทศไทยนี้ ทางกรีนพีซจะรวบรวมรายงานฉบับเต็มส่งให้ทุกๆ ฝ่ายที่ดูแลรับผิดชอบปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด ที่เป็นพื้นที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษทางน้ำ โดยเฉพาะ 10 จังหวัดแรกที่เสี่ยงวิกฤติมลพิษทางน้ำ
ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ระยอง นครปฐม ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา และนนทบุรี.
ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ ไทยโพสต์ (http://www.thaipost.net)
เปิดโปงอุตสาหกรรมไฮเทคปล่อยสารพิษปนเปื้อนแหล่งน้ำ
23 กุมภาพันธ์ 2550
น้ำเสียจากโรงงานถูกปล่อยลงมาสู่แหล่งน้ำสาธารณะ แถบภาคกลางของประเทศไทย
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย — กรีนพีซเปิดโปงความจริงล้างความเชื่อเก่าที่ว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมสะอาดด้วยรายงานชิ้นใหม่ ที่แสดงชัดว่าบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อดัง รวมถึงบริษัทในเครือต่างกำลังก่อปัญหามลพิษทางน้ำในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น รายงาน “มลพิษจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อมระหว่างการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์” เปิดเผยการปนเปื้อนสารพิษจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในแม่น้ำและบ่อน้ำใต้ดินในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีอันตรายหลายชนิด
การวิเคราะห์ตัวอย่างที่เก็บจากนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย รวมทั้งน้ำเสียและตัวอย่างอื่นๆ ที่เก็บจากโรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ 4 แห่ง พบว่ามีการปนเปื้อนสารเคมีอันตรายจำนวนมากในน้ำเสียจากโรงงานเหล่านี้ซึ่งท้ายสุดก็ไปจบที่แม่น้ำลำคลอง โรงงานดังกล่าวประกอบด้วย โรงงาน Elec & Eltek (EETH) ในจังหวัดปทุมธานี โรงงาน CKL Electronics ในนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน โรงงาน KCE Technology ในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค และโรงงาน PCTT ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำเสียจากโรงงาน EETH ในไทย ปนเปื้อนทองแดงในปริมาณสูงที่สุด เมื่อเทียบจากตัวอย่างที่เก็บจากแหล่งอื่นทั้งหมด โดยมีปริมาณสูงเกือบสองเท่าของค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานในไทย ตัวอย่างน้ำใต้ดินที่เก็บจากบริเวณใกล้นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค พบว่ามีปริมาณการปนเปื้อนนิกเกิล สูงกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด และสูงกว่าค่ามาตรฐานของคุณภาพน้ำใต้ดินของไทยเกือบ 5 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่า โรงบำบัดน้ำเสียรวมของนิคมอุตสาหกรรมบางแห่งในไทยที่มีโรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ตั้งอยู่ ยังไม่สามารถกำจัดสารพิษออกไปได้ทั้งหมด “ในช่วง 2-3 มานี้ เราได้เห็นความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการใช้สารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ความสนใจมักมุ่งไปที่การปนเปื้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการกำจัด หรือ ‘การรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์’ การที่เราพบว่ามีการปนเปื้อนเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการผลิต ทำให้เห็นชัดว่า เราจะสามารถเข้าใจถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อมทั้งหมดของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีการศึกษาตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์” ดร. เควิน บริกเดน นักวิทยาศาสตร์จากกรีนพีซกล่าว การวิจัยยังได้ครอบคลุมถึงการปนเปื้อนแหล่งน้ำใต้ดินหลายแห่ง โดยเฉพาะที่อยู่ใกล้แหล่งผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งพบว่ามีการปนเปื้อนสารอินทรีย์ระเหยประเภทคลอรีน (VOCs) และโลหะเป็นพิษหลายชนิดรวมทั้งนิกเกิล การปนเปื้อนสารเคมีในน้ำใต้ดินเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะชุมชนในพื้นที่หลายพื้นที่ใช้น้ำใต้ดินสำหรับทำน้ำดื่ม “ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มักอ้างตัวว่าเป็นอุตสาหกรรมสะอาด แต่จากสถานการณ์จริงที่พบในโรงงานหลายแห่ง รวมทั้งที่อยู่ในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย อุตสาหกรรมนี้กำลังก่อปัญหามลพิษทางน้ำในประเทศเพิ่มมากขึ้น และหากพิจารณาจากปริมาณแหล่งน้ำสะอาดที่กำลังลดลงแล้ว ปัญหานี้จะรอต่อไปไม่ได้”
กิตติคุณ กิตติอร่าม ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมระดับโลก มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนเฉพาะต่างๆ ตั้งอยู่ทั่วโลก ซึ่งมักมีกระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรและสารเคมีจำนวนมาก และมีการปล่อยของเสียอันตรายซึ่งก็ยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบเท่าที่ควร “มันน่าตกใจที่มีข้อมูลเปิดเผยน้อยมาก ที่สามารถระบุชัดว่าโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใดส่งให้กับบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อใด บริษัทยี่ห้อสินค้าต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการปนเปื้อนในแหล่งน้ำพอๆ กับโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนป้อนให้เหล่านั้น และจำเป็นต้องมีความโปร่งใสในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อที่บริษัทยี่ห้อสินค้าจะได้ถูกบังคับให้รับผิดชอบต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตสินค้าของพวกเขา” กิตติคุณกล่าวเสริม
การใช้สารพิษจำนวนมากในกระบวนการผลิต ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อคนงานจากการสัมผัสในที่ทำงาน “การปนเปื้อนที่น่าเศร้าและไม่ได้รับการกล่าวถึงที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก ซึ่งซ่อนเร้นภายใต้ระบบซัพพลายเชน ที่ไม่เปิดเผย ต้องหมดไป โรงงานผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้และบริษัทยี่ห้อสินค้าที่รับชิ้นส่วนมาจะต้องถูกตรวจสอบโดยละเอียด และต้องหยุดก่อมลพิษ การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดและมีอนาคตในเชิงเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง จึงไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดอุตสาหกรรมนี้จะไม่ควรจะเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ไร้สารพิษ การทดแทนด้วยวัสดุที่ปลอดภัยกว่า การปกป้องสุขภาพคนงานที่ดีขึ้น และการป้องกันการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่แหล่งกำเนิด” กิตติคุณ สรุป กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลไทยใช้ออกกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น ในเรื่องการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยน้ำทิ้งที่มีในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่ระบุในรายงานชิ้นนี้ ซึ่งก็ยังหละหลวมเกินไปที่จะลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้
รง.ในนิคมฯโรจนะ” ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำปลาตายเกลื่อน โดย ผู้จัดการออนไลน์ [ภาคกลาง-ตะวันออก] [27 กรกฎาคม 2551 16:14 น.] รวมข่าวและบทความให้อ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย ได้ที่นี่ Boybdream Webdesign
ระยอง - “รง.ในนิคมฯโรจนะ” ปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำทำปลาตายเกลื่อน ชาวบ้านแห่จับปลานิลกำลังดิ้นขาย ส่วนปลาตายรับซื้อไปทำปุ๋ยหมักในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ใกล้นิคมฯโรจนะ 30 รถกระบะ ส่วนน้ำเสียไหลลงแหล่งน้ำประปาชาวบ้าน
วันนี้ (27 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งชาวบ้านหมู่ 1 ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พบปลาตายจำนวนหลายร้อยกิโลกรัมในแหล่งน้ำของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หมู่ 11 ต.หนองบัว ในที่เกิดเหตุเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่กว่า 10 ไร่ ติดป้ายห้ามจับสัตว์น้ำ ส่งกลิ่นเหม็น พบชาวบ้านจำนวนมากกำลังช่วยกันจับปลานิลตายลอยเหนือผิวน้ำ ใส่กระสอบปุ๋ย บางคนจับใส่ถังพลาสติก บางคนใช้อวนลากในรางระบายน้ำจับปลานิลที่ตายแล้ว บางคนใช้เรือแจวจับปลาตายใส่เรือนำขึ้นมาขาย ซึ่งมีพ่อค้ามารับซื้อหลายราย เพื่อนำไปทำปุ๋ยหมัก นายสีนวล สมานศิลป์ อายุ 56 ปี เลขที่ 9/9 หมู่ 1 ต.หนองละลอก กล่าวว่า เพิ่งทราบข่าวจากคนในหมู่บ้านรับซื้อปลานิลตัวขนาดใหญ่จำนวนมาก แต่ยังไม่ตายในแหล่งน้ำภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ราคา กก.ละ 7 บาท นำไปเร่ขายชาวบ้าน กก.ละ 20 บาท วันนี้ขับรถยนต์กระบะมารับซื้อปลานิลตายแล้ว ราคากก.ละ 2 บาท วันนี้รับซื้อไว้แล้วประมาณ 300 กก.นำไปทำปุ๋ยหมักขาย และไว้ใช้เองบ้าง
นายอมร เพ็ชรรัตน์ อายุ 33 ปี ชาวบ้านหมู่ 1 ต.หนองบัว กล่าวว่า วันนี้มาจับปลานิลที่ตายลอยเหนือผิวน้ำในแหล่งน้ำดังกล่าว เพื่อนำไปทำปุ๋ยหมักไว้ใช้ในสวนเกษตรของตนเอง และกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมามีชาวบ้านจำนวนมากมาจับปลาที่ยังไม่ตาย กำลังดิ้นโผล่ผิวน้ำ มีพ่อค้ามารับซื้อหลายราย ชาวบ้านที่มายืนมุงดู กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีรถยนต์กระบะมารับซื้อปลานิลไม่ต่ำกว่า 30 คัน บางคนจับใส่กระสอบปุ๋ยเอาไปทำปุ๋ยหมัก ส่วนปลาที่ยังไม่ตายก็นำไปขายตามหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน นายดำรงศักดิ์ ผุดกระจ่าง อายุ 39 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) หนองบัว หมู่ 1 กล่าวว่า น้ำเสีย ที่ทำให้ปลานิลตายจำนวนมากมาย ในแหล่งน้ำอุตสาหกรรมโรจนะ ล้นเอ่อไหลลงแหล่งน้ำธรรมชาติในหมู่บ้าน ไหลลงแหล่งผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน ส่งผลกระทบชาวบ้านนอกจากนี้บ่อน้ำดินของชาวบ้านเริ่มส่งกลิ่นเหม็น และน้ำเป็นสนิม สาเหตุน่าจะเกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้น้ำในแหล่งน้ำดังกล่าวล้นไหลลงสู่แหล่งน้ำชาวบ้าน นายอนิรุธ โพธิหล้า วิศวกร 7 ว.สำนักงานอุตสาหกรรม จ.ระยอง กล่าวว่า สาเหตุปลาตายน่าจะเกิดจากเศษวัสดุแป้งมันสำปะหลัง ข้าวโพด ที่ตกเกลื่อนพื้นในบริษัท เวิลด์ เบสท์ ไบโอ เคมิคอล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นโรงงานผลิตน้ำมะนาวเทียม ก่อนหน้านี้ มีฝนตกลงมาหนัก ทำให้น้ำฝนปนเปื้อนเศษวัสดุ ซึ่งมีความเข้มข้นสูงไหลลงรางระบายน้ำลงสู่แหล่งน้ำขนาดใหญ่ ทำให้เกิดปลาตายจำนวนมาก หลังเข้าตรวจสอบสั่งให้ มีการปิดแหล่งน้ำดังกล่าวไว้ก่อน ติดตั้งใบพัด เพื่อเติมอากาศลงไป และได้เก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจพิสูจน์อีกครั้ง และให้โรงงานขุดบ่อกักน้ำฝนป้องกันไม่ให้ไหลลงสู่แหล่งน้ำได้
ชาวบ้านลงเรือจับปลาตายลอยเหนือน้ำในแหล่งน้ำของนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ หมู่ 11 ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นำไปทำปุ๋ยหมัก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น