ฝนเหลือง
ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี 2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้ ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง" ทั้ง ๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี 2506-2507 ออกมายืนยันว่า ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไทย ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก
ฝนเหลืองคืออะไร
ฝนเหลืองมาจากชื่อเล่นภาษาอังกฤษว่า Agent Orange เป็นสารผสมจากสารเคมี 2 ตัวคือ 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง คือ 2,4,5-T นี่เอง สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา ทำให้เกิดผื่นคัน ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำ สำหรับสาร 2,4-D มีชื่อเต็มว่า 2,4-dichlorophenoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง (Solid Class II, Moderately Hazardous๗ จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ จมูก และปอด ปวดแสบปวดร้อน ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง แสบตา ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก
ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกับ 2,4-D จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า สาร 2,4,5-T มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้ ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D และ 2,4,5-T มีสารประกอบสำคัญที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี non-biodegradable คือมีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ และ dioxin นี่เองที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก
พิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้
ดังกล่าวแล้วว่า สหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า มีสาร "ไดออกซิน" ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม (สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร) ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts per trilion) ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี 1994 (พ.ศ. 2537) แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประมาณ 3-8 เท่า มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากเวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency-EPA) นั้น ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป
พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ
"จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่ เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย" นาวาโทประเสริฐ น้ำฟ้า ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตรถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า Delaware ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานี่เอง ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ เคยเข้ามาทดลองสารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองบริเวณนี้ เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนาม นายเอนก กลิ่นน้อย อายุ 53 ปี ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย เปิดเผยว่า เมื่อปี 2506 สมัยที่มีอายุ 17 ปี เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมีและได้มีการนำไปโปรยในป่าใหญ่หลังค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเหมือนเหมือนเวียดนาม โดยทดลองอยู่เกือบ 1 ปี"สารเคมีที่นำมาผสมมี 3 ชนิด เป็นผงสีขาว ๆ และดำมีกลิ่นเหม็นมาก เวลากวนต้องใส่ถุงมือและหน้ากาก ช่วงทำงานผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน สมัยนั้นเรียกว่าโครงการใบไม้ร่วง ซึ่งเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย ต้นไม้จะตายอย่างรวดเร็ว" นายเอนกกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย. 42) ด้านเรือโทเมธี เพ็ญสาดแสง วัย 72 ปี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี 2508 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ช่วงทดลอง ทหารอเมริกันและคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง "สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว สารพิษยังไม่สลายตัว กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน" เรือโทเมธีกล่าว นอกจากนี้ทักษ์ เดชะปัญญา ประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหิน ซึ่งเคยเป็นล่ามและช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาระบุว่า การทดลองสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว ใช้ชื่อว่า "defoliate" หรือแผนใบไม้ร่วง ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าสารเคมีที่ขุดพบอาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่างวันที่ 23 มี.ค.-4 เม.ย. 2542 พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนช่วยตรวจสอบด้วย หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน นวล เภทยาภัชร ผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า พบไดเมทโธเอต (Dimethoate) และไตรอะโซฟอส (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก พร้อมทั้งยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า จากการตรวจสอบทั้งในระดับอนุภาคของตัวสาร ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมีแล้วไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T หรือแม้แต่ไดออกซิน สารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง สำหรับผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและบริษัทเอกชน ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน โดยสารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ Butylated Hydroxytoluene ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนห้องปฏิบัติเอกชนตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน ประกอบไปด้วยเบนซีน โทลูอีน เอทธิลเบนซีนและไซลีน ซึ่งเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมันและเป็นเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ดี กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและกลุ่มกรีนพีชนานาชาติ โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต เพื่อยืนยันลักษณะของสารเคมีและให้ประเทศที่เป็นเจ้าของออกมาแสดงความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล รีสอร์ชเซ็นเตอร์ เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนาม "เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้ ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ และต้องใช้งบประมาณสูง" เพ็ญโฉม ตั้ง จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้
ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่พบเป็นของใครและเป็นสารอะไรกัน คณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ โดยมีนายศิริธัญญ์ เป็นประธาน ก็พยายามที่จะให้บริษัทเจนโก้เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติปัญหาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยคาดว่าจะใช้จ่ายในเบื้องต้นถึง 30 ล้านบาท อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้แม้จะมีการลดงบประมาณเหลือ 16 ล้านบาทในเวลาต่อมา เพราะกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน "ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร" เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย. 42)
ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง" ที่มีการขุดพบ ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า เอเยนต์ออเรนจ์ ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า Thailand Defoliation Program หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย ช่วงระหว่างเดือน เม.ย. 2507-มิ.ย. 2508 บริเวณค่ายทหาร อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก โดยรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร รับทราบอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงเท่านั้น ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า นอกจากฝนเหลืองแล้ว สหรัฐฯ ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่น ๆ ด้วยเพื่อเปรียบเทียบกับสาร เอเยนต์ออเรนจ์ เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น โดยในการทดลองครั้งมีคนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการอยู่ด้วย 2 คน คือ นายเต็ม สมิธินันท์ นักวิชาการกรมป่าไม้ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว และนาย สมจิตร พงค์พงัน ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา โดยกล่าวเพียงว่า จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์
ในเวลาต่อมานายสมจิตรได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย ปี 2507 กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไรซึ่งจากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 42)
หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก 2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้ ซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ รมว. กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมายอมรับในที่สุดว่า ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้ เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ
ด้านศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า "ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" (มติชน 5 เม.ย. 42)
"ไม่ใช่แต่กรณีของบ่อฝ้ายที่เดียวหรอก เท่าที่สังเกตดู ปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น มักจะรีบออกมาปฏิเสธ ในกรณีนี้ กรมควบคุมมลพิษอาจออกมาปฏิเสธเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว แต่กลับไม่คำนึงปัญหาเลยว่าจะก่อผลกระทบอย่างไรบ้าง" เพ็ญโฉมสะท้อนภาพวิธีการแก้ปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฝนเหลืองที่ว่าอันตราย บางทีก็ยังอันตรายน้อยกว่าระบบการแก้ปัญหาของราชการไทยเสียอีก
www.school.net.th/library/snet6/envi5/yellowrain/rainn.htm -
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ
ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ
วีรกรรมของยุวชนทหารไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร 2 จุด คือที่บ้านแหลมดิน และบ้านคอสน ทหารญี่ปุ่นที่บ้านแหลมดินเป็นส่วนล่วงหน้า จัดรูปขบวนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่ถนนชุมพร ปากน้ำ ทหารญี่ปุ่นที่บ้านคอสนเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้ ตามแนวชายฝั่ง ไปสมทบกับส่วนล่วงหน้าที่สะพานท่านางสังข์เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองชุมพร
หลวงจรูญประศาสน์ (จรูญ คชภูมิ) ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรทราบข่าวการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นเมื่อราวประมาณ 6 นาฬิกา 30 นาที จึงสั่งให้ พ.ต.ต.หลวงจิต การุณราษฏร์ ผู้กำกับตำจรวจภูธร และร้อยเอกถวิล นิยมเสน ผู้บังคับหน่วยฝึกยุวชนทหารที่ 52 ให้จัดกำลังไปต้านทานทหารญี่ปุ่นที่จะเข้าทางปากน้ำชุมพร ในเวลาเดียวกันกองพันทหารราบที่ 38 ชุมพร มีที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางตะวันตก ตามถนนชุมพร-กระบุรี 9 กิโลเมตร ได้ทราบข่าวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและทราบว่ากำลังตำรวจและยุวชนทหารกำลังออกไปต่อสู่ต้านทานอยู่แล้ว แต่วันที่ 8ธันวาคม เป็นวันหยุดราชกาลและหน่วยทหารได้อนุญาตให้ทั้งนายทหารและพลทหารบางคนลาหยุดตามปกติ เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ควรเตรียมพร้อม แต่มีหน่วยหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่สนามบินทับไก่ อยู่ห่างจาก ร.พัน.38 ไปตามถนนทางตะวันตกอีก 3 กม. หน่วยนี้ได้เข้าผลัดเปลี่ยนกำลังตำรวจและยุวชนทหารในเวลาต่อมา
เวลาประมาณ 7 นาฬิกา 15 นาที ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้เคลื่อนย้ายกำลังออกปฏิบัติการ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ใช้กำลังยุวชนทหาร 5 คน ตำรวจภูธร 5 คน และราษฎรอาสาสมัคร 1 คน พร้อมด้วยปืนกลเบา 1 กระบอก ในความควบคุมของ จ่าสิบเอกจง แจ้งชาติ เดินทางมุ่งไปรักษาเส้นทางอ่าวพนังตัก หน่วยแยกนี้ไม่พบข้าศึกเลย
ส่วนที่ 2 ใช้กำลังยุวชนทหาร 30 คน ในความควบคุมของร้อยเอกถวิล นิยมเสน และสิบเอกสำราญ ควรพันธ์ ครูฝึก เคลื่อนย้ายโดยรถยนต์บรรทุกตามเส้นทางชุมพร-ปากน้ำไปสะพาน ท่านางสังข์
ยุวชนทหารทั้งหมดที่ออกไปสู้กับทหารญี่ปุ่น เป็นยุวชนทหารชั้นปีที่ 2 ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีและกำลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 ของปีการศึกษานั้น
เมื่อไปถึงสะพานท่านางสังข์ก็ต้องหยุดเข้าสมทบกับกำลังตำรวจที่กำลังปะทะกับข้าศึกอยู่ก่อน ร้อยเอกถวิลฯ ขึ้นไปตรวจการณ์บนสะพานถูกข้าศึกยิงแต่ไม่เห็นตัวข้าศึกเพราะบริเวณนั้นเป็นป่าสลับกับสวนมะพร้าว ทุ่งนาป่าละเมาะ และข้าศึกก็พรางตัวอย่างดีด้วยใบไม้ กิ่งไม้ ร้อยเอกถวิลฯ จึงรวมกำลังยุวชนทหารทั้งหมดข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม โดยให้ยุวชนทหาร 3 คนที่ไม่มีปืนกลับไปรับกระสุนเพิ่มเติมจากในเมือง ในการเคลื่อนที่ข้ามสะพานไปยึดพื้นที่ฝั่งตรงข้ามนั้น ร้อยเอกถวิลฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารทุกคนติดดาบพร้อมที่จะเข้าตะลุมบอนทหารญี่ปุ่นทันที แต่ โชคไม่ดีขณะวิ่งนำยุวชนทหารอยู่นั้น ร้อยเอกฯ ถูกยิงเข้าที่ซอกคอ ทะลุหลอดลมเสียชีวิตทันที ยุวชนทหารวัฒนา นิตยนารถ ได้รายงานให้สิบเอก สำราญฯ ทราบ สิบเอกสำราญฯ จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมยุวชนทหารแทน และได้สั่งให้ยิงต่อสู้ข้าศึกต่อไปอย่างเหนียวแน่น ทหารญี่ปุ่นได้เพิ่มเติมกำลังเข้ามาเรื่อยๆโดยพรางตัวด้วยกิ่งไม้ ใบไม้ ดูไกลๆ คล้ายป่าเคลื่อนที่เข้ามา ฝนก็ตกหนักอยู่ตลอดเวลา ยุวชนทหารได้รับคำสั่งให้ยิงทันทีที่เห็นกิ่งไม้ ใบไม้ไหวทำให้ทหารญี่ปุ่นหยุดเคลื่อนที่เข้ามาขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงทหารญี่ปุ่นร้องเมื่อถูกยิงอย่างชัดเจน สิบเอกสำราญฯเองก็ถูกยิงที่แขนขวา เนื้อขาดไปทั้งก้อน ปืนหลุดจากมือ ยุวชนทหารลออ เหมาะพิชัย ได้เข้ามาปฐมพยาบาลใช้ผ้าพันแข้งมัดแขนสิบเอก สำราญฯไว้ชั่วคราว สิบเอกสำราญฯ ได้มอบปืนให้ยุวชนทหารวัฒนาฯ ยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนที่เข้ามา
ขณะที่การรบกำลังติดพันอยู่นั้น ยุวชนทหารคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่ามีทหารญี่ปุ่นมาทางซ้าย ประมาณ 200 คน มีธงพื้นขาววงกลมแดงอยู่ตรงกลางนำหน้ามาด้วย ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร (ทราบภายหลังว่า ญี่ปุ่นพยายามจะเข้าขอเจรจาด้วยอ้างว่าได้ติดต่อกับรัฐบาลไทยให้ผ่านได้แล้ว) สิบเอกสำราญฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารเปลี่ยนเป้าหมายไปยิงเป้าหมายใหม่ทันทีทำให้กองทหารญี่ปุ่นต้องหยุดเคลื่อนที่ และตอบมาด้วยปืนเล็ก ปืนกล และลูกระเบิดขว้าง อย่างหูดับตับไหม้ ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีรถยนต์ปักธงขาวคันหนึ่งแล่นมาจากตัวเมืองข้ามสะพาน ท่านางสังข์ มายังตำบลที่ยุวชนทหารอยู่ จึงทราบว่าเป็นรถข้าหลวงประจำจังหวัดกับคณะ มี ร้อยตรีทองบาน รังครัตน์ ประจำ บก.ร.พัน.38 อยู่ในคณะเจรจาหยุดยิงตามคำสั่งทางวิทยุจากรัฐบาล ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านคอคอดกระไปยังประเทศพม่าได้ ญี่ปุ่นหยุดยิงทันทีที่เห็นรถคันนี้การรบจึงยุติลง
ผลการสู้รบระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร เมื่อ 8 ธันวาคม 2484
ฝ่ายเรา ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ยุวชนทหาร และตำรวจเสียชีวิต 5 คน ทหาร ตำรวจและ ราษฎรอาสาสมัคร บาดเจ็บ 5 คน
ฝ่ายข้าศึก ญี่ปุ่นแจ้งให้ทราบว่า ตาย 11 คน เป็นนายทหารยศ ร้อยเอก 1 คน พลทหาร 10 คน บาดเจ็บ 7 คน แต่ปรากฏตามหลักฐานฝ่ายเราว่าชาวบ้านไปพบศพทหารญี่ปุนบริเวณ ทิศตะวันออก ของสะพานท่านางสังข์ 23 ศพ เป็นนายทหาร 3 คน พลทหาร 20 คน
ชื่อของบทความนี้ได้มาจากหนังเรื่องยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ เป็นหนังที่ดีมากควรค่าที่จะไปหาดู เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายเรื่องราวของนักศึกษาวิชาทหารได้ครบทุกองค์ประกอบดูแล้วได้อารมณ์มาก
สำหรับข้อมูลทั้งหมดของบทความนี้คัดลอกและดัดแปลงมาจาก หนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารชาย ชั้นปีที่ 3 พ.ศ.2548 เป็นเรื่องจริงจากรายงานของกองทัพ ไม่ได้ใส่สีหรือแต่งเติม นี่คือความกล้าหาญของยุวชนทหารไทย ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุประมาณ 14-15-16 ปี มีอาวุธเพียงปืนเล็กยาวแบบ 66 ติดดาบปลายปืน ได้เข้าร่วมต่อสู้กับข้าศึกอย่างไม่กลัวความตาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยที่พวกเขารัก
แล้วทำไม พวกเราถึงยังทะเลาะกัน แบ่งแย่งฝ่ายโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน พวกเราทำทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่า วีรชนในอดีตของเราต้องเสียเลือดเนื้อเพียงใดเพื่อรักษาความเป็นไทยของเราไว้ มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องจับมือกัน แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และร้องเพลงนี้เพื่อประเทศไทยของเรา
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ
ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย
รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใคร่ข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิง ประเทศชาติไทย ทวีมีชัย ชโย
แด่ยุวชนทหารผู้กล้าหาญ และผู้ที่กำลังหลงผิด
KSWAN
วีรกรรมของยุวชนทหารไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร 2 จุด คือที่บ้านแหลมดิน และบ้านคอสน ทหารญี่ปุ่นที่บ้านแหลมดินเป็นส่วนล่วงหน้า จัดรูปขบวนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่ถนนชุมพร ปากน้ำ ทหารญี่ปุ่นที่บ้านคอสนเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้ ตามแนวชายฝั่ง ไปสมทบกับส่วนล่วงหน้าที่สะพานท่านางสังข์เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองชุมพร
หลวงจรูญประศาสน์ (จรูญ คชภูมิ) ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรทราบข่าวการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นเมื่อราวประมาณ 6 นาฬิกา 30 นาที จึงสั่งให้ พ.ต.ต.หลวงจิต การุณราษฏร์ ผู้กำกับตำจรวจภูธร และร้อยเอกถวิล นิยมเสน ผู้บังคับหน่วยฝึกยุวชนทหารที่ 52 ให้จัดกำลังไปต้านทานทหารญี่ปุ่นที่จะเข้าทางปากน้ำชุมพร ในเวลาเดียวกันกองพันทหารราบที่ 38 ชุมพร มีที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางตะวันตก ตามถนนชุมพร-กระบุรี 9 กิโลเมตร ได้ทราบข่าวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและทราบว่ากำลังตำรวจและยุวชนทหารกำลังออกไปต่อสู่ต้านทานอยู่แล้ว แต่วันที่ 8ธันวาคม เป็นวันหยุดราชกาลและหน่วยทหารได้อนุญาตให้ทั้งนายทหารและพลทหารบางคนลาหยุดตามปกติ เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ควรเตรียมพร้อม แต่มีหน่วยหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่สนามบินทับไก่ อยู่ห่างจาก ร.พัน.38 ไปตามถนนทางตะวันตกอีก 3 กม. หน่วยนี้ได้เข้าผลัดเปลี่ยนกำลังตำรวจและยุวชนทหารในเวลาต่อมา
เวลาประมาณ 7 นาฬิกา 15 นาที ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้เคลื่อนย้ายกำลังออกปฏิบัติการ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ใช้กำลังยุวชนทหาร 5 คน ตำรวจภูธร 5 คน และราษฎรอาสาสมัคร 1 คน พร้อมด้วยปืนกลเบา 1 กระบอก ในความควบคุมของ จ่าสิบเอกจง แจ้งชาติ เดินทางมุ่งไปรักษาเส้นทางอ่าวพนังตัก หน่วยแยกนี้ไม่พบข้าศึกเลย
ส่วนที่ 2 ใช้กำลังยุวชนทหาร 30 คน ในความควบคุมของร้อยเอกถวิล นิยมเสน และสิบเอกสำราญ ควรพันธ์ ครูฝึก เคลื่อนย้ายโดยรถยนต์บรรทุกตามเส้นทางชุมพร-ปากน้ำไปสะพาน ท่านางสังข์
ยุวชนทหารทั้งหมดที่ออกไปสู้กับทหารญี่ปุ่น เป็นยุวชนทหารชั้นปีที่ 2 ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีและกำลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 ของปีการศึกษานั้น
เมื่อไปถึงสะพานท่านางสังข์ก็ต้องหยุดเข้าสมทบกับกำลังตำรวจที่กำลังปะทะกับข้าศึกอยู่ก่อน ร้อยเอกถวิลฯ ขึ้นไปตรวจการณ์บนสะพานถูกข้าศึกยิงแต่ไม่เห็นตัวข้าศึกเพราะบริเวณนั้นเป็นป่าสลับกับสวนมะพร้าว ทุ่งนาป่าละเมาะ และข้าศึกก็พรางตัวอย่างดีด้วยใบไม้ กิ่งไม้ ร้อยเอกถวิลฯ จึงรวมกำลังยุวชนทหารทั้งหมดข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม โดยให้ยุวชนทหาร 3 คนที่ไม่มีปืนกลับไปรับกระสุนเพิ่มเติมจากในเมือง ในการเคลื่อนที่ข้ามสะพานไปยึดพื้นที่ฝั่งตรงข้ามนั้น ร้อยเอกถวิลฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารทุกคนติดดาบพร้อมที่จะเข้าตะลุมบอนทหารญี่ปุ่นทันที แต่ โชคไม่ดีขณะวิ่งนำยุวชนทหารอยู่นั้น ร้อยเอกฯ ถูกยิงเข้าที่ซอกคอ ทะลุหลอดลมเสียชีวิตทันที ยุวชนทหารวัฒนา นิตยนารถ ได้รายงานให้สิบเอก สำราญฯ ทราบ สิบเอกสำราญฯ จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมยุวชนทหารแทน และได้สั่งให้ยิงต่อสู้ข้าศึกต่อไปอย่างเหนียวแน่น ทหารญี่ปุ่นได้เพิ่มเติมกำลังเข้ามาเรื่อยๆโดยพรางตัวด้วยกิ่งไม้ ใบไม้ ดูไกลๆ คล้ายป่าเคลื่อนที่เข้ามา ฝนก็ตกหนักอยู่ตลอดเวลา ยุวชนทหารได้รับคำสั่งให้ยิงทันทีที่เห็นกิ่งไม้ ใบไม้ไหวทำให้ทหารญี่ปุ่นหยุดเคลื่อนที่เข้ามาขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงทหารญี่ปุ่นร้องเมื่อถูกยิงอย่างชัดเจน สิบเอกสำราญฯเองก็ถูกยิงที่แขนขวา เนื้อขาดไปทั้งก้อน ปืนหลุดจากมือ ยุวชนทหารลออ เหมาะพิชัย ได้เข้ามาปฐมพยาบาลใช้ผ้าพันแข้งมัดแขนสิบเอก สำราญฯไว้ชั่วคราว สิบเอกสำราญฯ ได้มอบปืนให้ยุวชนทหารวัฒนาฯ ยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนที่เข้ามา
ขณะที่การรบกำลังติดพันอยู่นั้น ยุวชนทหารคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่ามีทหารญี่ปุ่นมาทางซ้าย ประมาณ 200 คน มีธงพื้นขาววงกลมแดงอยู่ตรงกลางนำหน้ามาด้วย ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร (ทราบภายหลังว่า ญี่ปุ่นพยายามจะเข้าขอเจรจาด้วยอ้างว่าได้ติดต่อกับรัฐบาลไทยให้ผ่านได้แล้ว) สิบเอกสำราญฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารเปลี่ยนเป้าหมายไปยิงเป้าหมายใหม่ทันทีทำให้กองทหารญี่ปุ่นต้องหยุดเคลื่อนที่ และตอบมาด้วยปืนเล็ก ปืนกล และลูกระเบิดขว้าง อย่างหูดับตับไหม้ ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีรถยนต์ปักธงขาวคันหนึ่งแล่นมาจากตัวเมืองข้ามสะพาน ท่านางสังข์ มายังตำบลที่ยุวชนทหารอยู่ จึงทราบว่าเป็นรถข้าหลวงประจำจังหวัดกับคณะ มี ร้อยตรีทองบาน รังครัตน์ ประจำ บก.ร.พัน.38 อยู่ในคณะเจรจาหยุดยิงตามคำสั่งทางวิทยุจากรัฐบาล ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านคอคอดกระไปยังประเทศพม่าได้ ญี่ปุ่นหยุดยิงทันทีที่เห็นรถคันนี้การรบจึงยุติลง
ผลการสู้รบระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร เมื่อ 8 ธันวาคม 2484
ฝ่ายเรา ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ยุวชนทหาร และตำรวจเสียชีวิต 5 คน ทหาร ตำรวจและ ราษฎรอาสาสมัคร บาดเจ็บ 5 คน
ฝ่ายข้าศึก ญี่ปุ่นแจ้งให้ทราบว่า ตาย 11 คน เป็นนายทหารยศ ร้อยเอก 1 คน พลทหาร 10 คน บาดเจ็บ 7 คน แต่ปรากฏตามหลักฐานฝ่ายเราว่าชาวบ้านไปพบศพทหารญี่ปุนบริเวณ ทิศตะวันออก ของสะพานท่านางสังข์ 23 ศพ เป็นนายทหาร 3 คน พลทหาร 20 คน
ชื่อของบทความนี้ได้มาจากหนังเรื่องยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ เป็นหนังที่ดีมากควรค่าที่จะไปหาดู เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายเรื่องราวของนักศึกษาวิชาทหารได้ครบทุกองค์ประกอบดูแล้วได้อารมณ์มาก
สำหรับข้อมูลทั้งหมดของบทความนี้คัดลอกและดัดแปลงมาจาก หนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารชาย ชั้นปีที่ 3 พ.ศ.2548 เป็นเรื่องจริงจากรายงานของกองทัพ ไม่ได้ใส่สีหรือแต่งเติม นี่คือความกล้าหาญของยุวชนทหารไทย ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุประมาณ 14-15-16 ปี มีอาวุธเพียงปืนเล็กยาวแบบ 66 ติดดาบปลายปืน ได้เข้าร่วมต่อสู้กับข้าศึกอย่างไม่กลัวความตาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยที่พวกเขารัก
แล้วทำไม พวกเราถึงยังทะเลาะกัน แบ่งแย่งฝ่ายโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน พวกเราทำทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่า วีรชนในอดีตของเราต้องเสียเลือดเนื้อเพียงใดเพื่อรักษาความเป็นไทยของเราไว้ มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องจับมือกัน แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และร้องเพลงนี้เพื่อประเทศไทยของเรา
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ
ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย
รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใคร่ข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิง ประเทศชาติไทย ทวีมีชัย ชโย
แด่ยุวชนทหารผู้กล้าหาญ และผู้ที่กำลังหลงผิด
KSWAN
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
บันทึก KSWAN 2
DAY 1 07.08.52
15.30 น. วันนี้มีภารกิจต้องไปเข้าค่ายสิ่งแวดล้อม ที่คลองอุดม สระแก้ว แต่ก่อนไปค่ายดันมีสอบวิชากฎหมายคาบแรก วันนี้ก็เลยอยู่ในอาการเมากฎหมาย ข้อสอบของอาจารย์สุดยอดมาก สอบบทที่ 1- 2 ข้อสอบมี 3 ข้อ แต่ข้อมูลที่ต้องอ่านมี 99 หน้า แถมอ่านมาไม่ตรงกับที่สอบด้วย ตกแน่นงานนี้ สอบเสร็จก็มาเรียนอังกฤษต่อเรียนตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงสามโมง จากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกรุ่นพี่ปี4 แล้วก็รุ่นน้องปี 1 ค่ายนี้เรารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหวังว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งนะ ชมรมของเราเป็นคนเขียนโครงการค่ายเอง (แต่เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นตัวไร้ประโยชน์ ) นั่งรถ (คราวนี้เป็นรถบัสของมหาลัย มหาลัยให้ยืมมาพร้อมคนขับแต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง) ออกมาครึ่งชั่วโมงก็ผ่านแยกบางคล้า แล้วก็วิ่งไปต่อในเส้นทางที่เราไม่รู้จัก ข้างทางมีแต่ต้นไม้ นาข้าว ไร่ข้าวโพด เลี้ยวโค้งขึ้นเขาลงเขา ผ่านด่านตรวจ ถึงค่ายประมาณ 1 ทุ่ม แต่ก่อนถึงต้องเอารถบัสมหาลัยไปจอดฝากไว้ที่ โรงเรียนคลองอุดม เพราะทางไปค่ายรถใหญ่เข้าไม่ได้ติดต้นไม้ ทางเจ้าหน้าที่เค้าจัดรถมารับเป็นรถ 6 ล้อ นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 3 ก.ม. ก็มาถึงค่าย ค่ายนี้ตั้งอยู่ที่ หน่วยจัดการต้นน้ำคลองอุดม อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว คนที่หาค่ายนี้เจอคนแรกต้องสุดยอดจริงๆ บ้านคนแทบไม่มี มีแต่ไร่ข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทางมาก็สุดยอด เห็นถนนลาดยางหายไปต่อหน้าต่อตา แถมนั่งอยู่หลังรถ 6 ล้อ โดยเหวี่ยงไปมามันมาก วิ่งเข้าไปในป่า ต้องคอยหลบต้นไม้ให้ดีไม่งั้นเจ็บตัวแน่ มาถึงค่ายก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี มื้อนี้มีอะไรหลายอย่างที่เรากินไม่เป็น กินได้แต่ไข่พะโล้ แต่ไม่เป็นไร วันนี้กินมาเต็มที่แล้ว กลางวันกินก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษใส่ไข่ แล้วก็ขนนที่เราไม่รู้จักอีกหนึ่งอัน ก่อนขึ้นรถก็ซื้อซาลาเปาไส้ครีมลูกเกดจากเซเว่นอีก 3ลูก กินไป 2 ลูก อีกลูกไม่รู้วางลืมไว้ที่ไหน วันนี้รู้สึกจะกินมากเป็นพิเศษปกติกินแค่นมกล่องเดียว กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลากิจกรรมเริ่มจากแนะนำตัว ให้น้องๆจากโรงเรียน “วังไพร” ที่มาร่วมค่ายรู้จัก ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ม.5-6 โดนรับรุ่นพี่ ให้เต้นท่าไก่ย่าง 5 ดาว ไป 1ชุด แนะนำตัวเสร็จก็ไปรวมกับรุ่นน้อง ความหวังที่ว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งแป๊กไปเรียบร้อย แบ่งกลุ่ม เป็นสามกลุ่ม กลุ่มเรามีทั้งหมด 11 คน ทำกิจกรรมกับน้องๆอีกนิดหน่อยก็หมดเวลา เครื่องปั่นไฟน้ำมันกำลังจะหมดแล้ว คนที่อยู่ที่นี่ต้องสุดยอดจริงๆ ไม่มีไฟฟ้าต้องใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟกับแผงโซล่าเซลล์ สัญญาโทรศัพท์มีแค่ขีดเดียว ไม่มีทีวี ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ แต่คืนนี้มีขนมเฉาก๊วยให้กินเป็นมื้อดึก ง่วงนอนแล้ว เหนื่อย แต่ก็สนุกดี
DAY 2 08.08.52
4.15 น เครื่องปั่นไฟทำงาน ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงน้องๆผู้ชายตื่นแล้ว ตื่นเช้าจังนะไอ้พวกนี้ไม่ใช่อะไรหรอก ตื่นมาแย่งกันเข้าห้องน้ำน่ะซิ สำหรับเราอาบน้ำเสร็จก็นั่งเล่นนอนเล่นจนถึงเวลา หกโมงเช้า เข้าแถวออกกำลังกาย แต่รุ่นน้องปีหนึ่งของเราสองคนโดนรับน้องจากรุ่นพี่ของเรา ที่จบไปแล้ว สุดท้ายเรากับเพื่อนของเราก็โดนรับน้องไปกับเค้าด้วย โดนให้เอามือไขว่กันแล้วก็เดินไปพร้อมกัน ปากก็ตะโกนว่า “รักพี่ เสียดายน้อง ท้องทั้งพี่ทั้งน้อง” เฮ้ยไม่ใช่แล้ว อย่างนั้นก็คุกซิครับ ต้องพูดว่า “เคารพพี่ รักน้อง รักพวกพร้อง รักสิ่งแวดล้อม” แต่เราว่าบางทีก็ควรเติมคำว่า “ให้เกียรติรุ่นน้อง” ก็น่าจะดีนะ โดนรับน้องเสร็จ ก็เข้าไปรวมกับชาวบ้านเค้าทำกิจกรรมอีกนิดหน่อย ก็ถึงเวลามื้อเช้ากับข้าวมื้อนี้มีต้มเลือดหมูคนละหนึ่งชาม ต้องกินให้หมดด้วย สำหรับเรามันก็ OK นะ แต่น้องบางคนเล่นใส่พริกซะแดงเลย คงเผ็ดโคตรเห็นตอนกินทรมานน่าดู กินมื้อเช้าเรียบร้อยก็ถึงเวลาเล่นฐาน มีสามฐาน ฐานแรกให้ลอดเชือดกว่าจะผ่านมาได้แทบตาย นึกว่าไม่รอดซะแล้ว ฐานที่สองให้เดินอยู่บนผ้าใบผืนเดียวมีคนอยู่ตั้ง 11 คน โคตรเหนื่อยเลย ฐานสุดท้ายเอาลูกปิงป่องออกจากท่อ เล่นเราคอเคล็ดเลยโดนรุ่นน้องล้มใส่ เล่นครบสามฐานก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดีมื้อนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่
กิจกรรมตอนบ่ายของวันนี้คือ เดินป่า ป่าที่นี่เป็นป่าปลูกขึ้นใหม่แทนป่าเดิมที่โดนทำลายไปแล้ว อายุประมาณ 13 ปี เป็นป่าที่สมบูรณ์มาก มีลอยเท้ากระทิง กวาง ช้าง แล้วก็รถแทรกเตอร์เต็มไปหมด เดินป่าเสร็จก็โดนเล่นฐานปิดตาเดินป่า อันนี้ก็สุดยอด เล่นเอาหลายคนเละเลยโดยเฉพาะเราเดินจมโคลนรองเท้าจมไปมิดเลย ต้องปล่อยมือจากเชือดมาหารองเท้าตาก็ถูกปิด ก็ตอนแรกน้องที่เดินอยู่ข้างหน้าเราเกิดหยุดตรงบ่อโคลนแล้วก็ไม่บอก เราเดินตามมาข้างหลังก็ชนเข้า แล้วเซถอยถอยหลัง ขามันก็เลยจมไปลึกเลย “งานเข้าแล้วซิ” ไม่มีรองเท้าแล้วจะไปต่อยังไง ดีนะที่ขุดมันขึ้นมาได้ รุ่นพี่ไม่ช่วยเลย แอบหัวเราะอย่างเดียว หลุดจากบ่อโคลนมาก็ลงน้ำลึกแค่หัวเข่า แล้วก็ถึงเส้นชัย แต่ยังไม่วายโดนไอ้รุ่นน้องแสนดีมันแกล้งเอาซะได้ เล่นให้เราไปยืนถือไม้อยู่ในป่า ยังดีนะที่ไหวตัวทันไม่งั้นฮ่ากระจายแน่ ยิ่งคนท้ายๆยิ่งโดนแกล้ง เราก็เอากับเค้าด้วยแกล้งให้เดินลุยเข้าป่า เด็กที่นี่ชอบร้อง “เอ๊อะ” แปลว่า เจ็บ หรือ โอ๊ย บางทีก็ใช้ภาษาแปลกๆที่เราไม่รู้จักอย่างคำว่า “โอ๊ยไม้ตำปาก” ถ้าเป็นคำพูดทั่วไปต้องพูดว่า “โอ๊ยไม้กระแทกปาก” หัวแซ่งโคลนก็หมายถึงหัวทิ่มขี้โคลน แต่ฟังดูแล้วก็ตลกดีนะ
จบกิจกรรมเดินป่าก็เกือบห้าโมงเย็นออกจากป่าก็อาบน้ำ แล้วก็ต้องเตรียมบทละครอีกแล้ว คราวนี้ง่ายหน่อยพวกน้องๆคิดบทให้เลยง่าย บทละครก็มีอยู่ว่ามีนายพรานใจบาปหยาบช้าคนหนึ่งเข้าป่าไปล่ากวาง แต่โดนพวกต้นไม้ ลำธาร สัตว์ป่า ช่วยกันรุมด่า ไม่ใช่ซิต้องพูดว่ารุมสั่งสอน จนนายพรานสำนึกได้ เราเล่นเป็นนายพรานเอง โดนน้องมันด่าว่า “ไอ้นายพรานแก่หน้าหล่อ” แสดงละครเสร็จก็ถึงเวลาเล่นเกมวันนี้เราโชคไม่ดีแพ้ทุกรอบ โดนเต้นไปหลายท่า เราก็มีท่าหากินอยู่ท่าเดียว “มอเตอร์ไซค์เวปป้าจากค่ายบางพระ” กิจกรรมสุดท้ายของคืนนี้ ก็คือจุดเทียนรับน้องเข้าเป็นเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนนอนคืนนี้มีถั่วแดงต้มน้ำตาลเป็นของกินมื้อดึก อร่อยมาก.
DAY 3 09.08.52
วันนี้ก็ตื่นตอนตีสี่ เหมือนเดิม พวกน้องๆผู้ชายออกมาเดินเล่นกันอีกแล้ว เช้านี้พี่วิทยากรเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนขับรถออกไปข้างนอกมา ตอนขากลับเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ข้างทาง ตรงทางโค้ง คนขี่นั่งอยู่ข้างทางโบกมือบ๊ายบายให้แก แปลกนะคนที่นั่งมาด้วยกันกลับไม่เห็น หกโมงครึ่งแล้วถึงเวลาเรียกรวมออกกำลังกายแล้วก็เล่นกายกรรมเหนื่อยอีกแล้ว ออกกำลังกายเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเขียนบรรยายความรู้สึกที่มาค่ายนี้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับบ้านแล้ว มื้อเช้าวันนี้เป็นต้มฟัก (ที่นี่เรียกว่าต้มแฟง) กับผัดกระเพรารสชาติใช้ได้
กิจกรรมสุดท้ายของค่ายนี้คือไปปลูกป่า ต้องนั่งรถ 6 ล้อ เข้าไปในป่าอีกหลายกิโล ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขึ้นเนิน ลงเนิน เลี้ยวโค้ง โยกตัวหลบต้นไม้ สนุกมาก เรียกว่ามีแต่เสียงร้อง “โอ๊ย อุ๊บ แอ๊ก ย้าก” ไปตลอดทาง ครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง ไส้แทบจะหล่นลงมากองกันหมดแล้ว มาถึงพื้นที่ปลูกป่า ลงจากรถเดินเข้าป่าไปอีก 300 เมตร ถึงที่ปลูกป่า ก็ลงมือปลูกต้นไม้กันเลย อาจารย์ของเราบอกว่า “เสถียรถ้าปลูกได้ 100 ต้น เอา A วิชาอาจารย์ไปเลย” เราก็ตอบว่า YES SIR จัดให้ครับอาจารย์ แต่พอเอาจอบขุดดินก็รู้เลยว่าพลาดเสียแล้ว ดินแข็งมากบางจุดก็เป็นดินเหนียว ขุดได้ไม่ถึงไหน พวกน้องๆคงรำคาญเลยบอกว่า พี่ขวัญเอาจอบมาให้หนูเดี๋ยวหนูขุดให้ บ้านหนูทำไร่ ว่าแล้วน้องเค้าก็ขุดใหญ่เลยเล่นเอาเราอายเลย แต่เราก็ปลูกได้หลายต้นเหมือนกัน เกือบเที่ยงปลูกต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรถกลับทางที่มาตอนแรก ทางวิบากรอบสอง
กลับมาถึงค่ายเที่ยงครึ่งพอดีเปลี่ยนชุด แต่ไม่ได้อาบน้ำเดี๋ยวค่อยอาบตอนถึงบ้านก็ได้ บ่ายโมงกินข้าวมื้อสุดท้าย แล้วก็นั่งเล่าความรู้สึกของการมาค่ายนี้ของทุกคน ลืมบอกไปเราเจอซาลาเป่าลูกที่สามแล้วอยู่ในกระเป๋าเราเอง เซ่อจริงๆเลย จะกินมันก็ไม่กล้าเกรงใจท้อง เลยยกให้หมากิน ตอนแรกหมามันไม่กล้ากินเพราะเมื่อวานเราแกล้งโยนไม้ให้มันกิน วันนี้มันคงระแวงเราอยู่ แต่สุดท้ายมันก็กิน บ่ายสองก็ออกจากค่ายบอกลารุ่นพี่ ขึ้นรถ 6 ล้อ ออกไปอีกหลายกิโลคราวนี้สนุกกันใหญ่เพราะมีน้องๆจากรร.วังไพรร่วมทางมาด้วย ตอนนี้ก็เลยถ่ายวีดีโอไว้เสียดายที่โทรศัพท์เราหน่วยความจำเกือบเต็มแล้วเลยถ่ายได้น้อย มาถึง รร.คลองอุดมก็เปลี่ยนรถมาขึ้นรถบัสของเรา จะได้กลับบ้านแล้ว
14.53 น มาถึง รร.เรียนวังไพร ส่งน้องๆลงจากที่โรงเรียน บอกลาน้องๆ เด็กที่นี่น่ารักทุกคน ลาก่อนแล้วเจอกัน
15.35 น หลังจากส่งน้องๆแล้วตอนนี้รถบัสเงียบเหงามาก เหลือคนอยู่แค่ 10 คน ก็มีคนขับ อาจารย์ เพื่อนเรา 3 คน รุ่นน้องปีหนึ่ง 4 คน บนถนนข้างหน้าเราเห็นรถกระบะไตรตันท์ 4 ประตูสีน้ำเงินวิ่งอยู่เลนขวา(ถนนมีแค่สองเลน) รถบัสของเราวิ่งอยู่เลนซ้ายตามหลังมันจู่ๆไอ้รถไตรตันท์มันก็แบนหัวมาทางซ้ายเฉี่ยวกับรถบัสของเราสีถลอก ส่วนรถของมันด้านหน้าซ้ายบุไปถึงประตู คนขับรถของเราลงไปเจรจา พูดกับมันดีๆแต่มันกับด่าคนขับรถของเรา ด่าอาจารย์เรา พวกรุ่นน้องก็เลยลงไปล้อมตัวมันเตรียมสำเร็จโทษมัน แต่อาจารย์ห้ามไว้เพราะมันเมา รุ่นน้องของเราก็เมาพอกัน มันบอกให้ไปคุยกันที่โรงพัก พวกเราก็ขึ้นรถบัสขับตามมันไป แต่มันเล่นขับหนีหายไปเลย พวกเราก็คอยมองหามัน เห็นมันอยู่แต่ไกลขับรถส่ายเป็นงูน่ากลัวมาก รถคันอื่นต้องหลบลงข้างทาง รถบัสของเราไล่ตามมันไม่ทันแน่
15.55 น ระหว่างไล่ตามเจอรถตำรวจวิ่งสวนมา ช่วยกันโบกมือเรียกแล้วบอกตำรวจว่า รถชนแล้วหนีช่วยด้วย ลุงตำรวจแกก็เปิดไซเรนวิ่งไล่ตามมัน มันก็ยังขับหนีรถตำรวจ ไล่ตามกันไปอีกหลายร้อยเมตร ลุงตำรวจขับปาดหน้าให้มันหยุด แล้วตำรวจก็ลงมาล้อมรถมัน รถบัสของเราตามมาทันพอดี เห็นมันพูดท้าทายตำรวจ มันบอกตำรวจว่า “มึงจะเอาเงินเท่าไร” ลุงตำรวจเลยผลักมันล้มลงบนพื้นถนน แล้วบอกว่า “กูไม่ได้มารีดไถ่มึงนะ” เท่านั้นแหละมันถึงกับยกมือไหว้ตำรวจเลย ลุงตำรวจพามันขึ้นรถตำรวจไปโรงพัก พวกเราต้องไปโรงพักด้วย สนุกมากๆ
16.24 น โรงพักท่าตะเกียบ ไอ้คนชนมันเมาไม่รู้เรื่องเลยจะเดินหนีท่าเดียว ตำรวจต้องไปลากตัวกลับมามันไม่ยอมเดินสุดท้ายก็หกล้มเลือดออกเต็มขาเลย น่าสงสาร แต่ก็สมควรโดน มันดูถูกพวกเราก่อน มันบอกว่าพ่อมันอยู่บุรีรัมย์ แต่พ่อมันตายแล้ว แล้วมันบอกว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า 45 ล้าน ค้นดูในกระเป๋าไม่มีแม้แต่บาทเดียว สุดท้ายมันก็โดนพาไปวัดแอลกอฮอล์ แล้วก็ทำแผลที่โรงบาลพยา ระหว่างรอสอบสวน ไม่มีอะไรทำ ลงไปสำรวจโรงพักเล่น ถ่ายรูปที่โรงพัก ลุงตำรวจแกพาไปดูคุก แล้วก็สอนวิชากฎหมายให้ฟัง
17.30 น ยังสวบสวนไม่เสร็จ อาจารย์เลยให้เงินพวกเราไปซื้อข้าวกิน แล้วอย่างลืมซื้อให้อาจารย์กับคนขับรถด้วย ตอนไปซื้อข้าวได้ยินชาวบ้านแถวนั้นพูดเรื่องรถที่ขับหนีตำรวจด้วยเหมือนในหนังเลย แล้วถามว่าพวกเราใช่พวกที่มากับรถบัสคู่กรณีหรือเปล่า เราตอบว่าใช่
ซื้อข้าวเสร็จก็พากันมานั่งกินที่ศาลาพักร้อน กินยังไม่ทันเสร็จมีผู้หญิงใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงขาสั้น รองเท้าหนัง ถือหนังสือเดินตรงมาที่พวกเรานั่งกินข้าวกันอยู่ ถามพวกเราว่า “จะพักค้างคืนที่หรือคะ” อาจารย์ตอบว่า “ไม่ครับรถของพวกเราเสียก็เลยมานั่งพัก”ไม่ได้บอกเรื่องจริงเพราะดูท่าทางจะสติไม่ดี เราก็เดินเข้าไปหาเอาน้ำไปให้ แต่เธอบอกว่าขอเปลี่ยนเป็นเงินได้มั้ย นั่นเลยงานเข้าอีกแล้ว เราตอบกลับไปว่าเราเป็นนักศึกษาไม่มีเงิน “หนีคนเมาเจอคนบ้า”
19.00 น สอบสวนเสร็จตำรวจบอกให้พวกเรากลับบ้านได้ ส่วนไอ้คนเมาต้องติดคุก 1 คืนแน่นนอน แล้วถ้าคดีถึงศาลอาจต้องติดคุกอีก 1 เดือน ต้องขอขอบพระคุณตำรวจ ส.ภ.ท่าตะเกียบที่ช่วยเหลือพวกเรา ขอบคุณมากครับ
ตอนนี้มืดมากแล้ว ถนนไม่มีแสงไฟต้องเพิ่มความระวังเป็นสองเท่า หน้ารถมีคนนั่งอยู่แค่สี่คน มีอาจารย์ คนขับ เพื่อนเรา แล้วก็เรา เรานั่งข้างคนขับ ที่เหลือนั่งกระจายกันอยู่ตรงกลางแล้วก็ท้ายรถ หลังจากขับออกจากโรงพักไม่นาน เห็นข้างทางมีคนใส่เสื่อสีขาวเดินอยู่ข้างถนน เราพูดกับเพื่อนว่าคนคนนี้เค้าไม่กลัวหรือไง ออกมาเดินทำไม บนถนนมีแต่ซากหมาโดนรถทับ แถมมืดมากด้วย วันต่อมาเพื่อนมาบอกว่าผู้ชายที่เราเห็นตอนนั้น ตอนที่เราพูด เพื่อนที่นั่งอยู่ตรงกลางรถก็เลยหันหลังกลับไปดู เห็นผู้ชายคนนั้นไม่มีหน้าตาไม่มีปาก ตา จมูก มีแต่เลือด!!
เกือบสามทุ่มพวกเราก็มาถึงแปดริ้วคนขับรถไปส่งที่ขนส่งแปดริ้ว แต่รถโดยสารทุกสายที่วิ่งผ่านบ้านเราหมดแล้วไม่มีรถกลับ ต้องโทรเรียกแม่มารับ สามทุ่มครึ่งถึงบ้าน อาบน้ำแล้วก็นอนเลย มาค่ายคราวนี้ได้ครบรสชาติเลย ทั้ง โหด มัน ฮ่า เรื่องน่ากลัว เรื่องตื่นเต้น สนุกมาก.
*รูปภาพดูเอาในบล็อกนะครับ.
15.30 น. วันนี้มีภารกิจต้องไปเข้าค่ายสิ่งแวดล้อม ที่คลองอุดม สระแก้ว แต่ก่อนไปค่ายดันมีสอบวิชากฎหมายคาบแรก วันนี้ก็เลยอยู่ในอาการเมากฎหมาย ข้อสอบของอาจารย์สุดยอดมาก สอบบทที่ 1- 2 ข้อสอบมี 3 ข้อ แต่ข้อมูลที่ต้องอ่านมี 99 หน้า แถมอ่านมาไม่ตรงกับที่สอบด้วย ตกแน่นงานนี้ สอบเสร็จก็มาเรียนอังกฤษต่อเรียนตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงสามโมง จากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกรุ่นพี่ปี4 แล้วก็รุ่นน้องปี 1 ค่ายนี้เรารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหวังว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งนะ ชมรมของเราเป็นคนเขียนโครงการค่ายเอง (แต่เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นตัวไร้ประโยชน์ ) นั่งรถ (คราวนี้เป็นรถบัสของมหาลัย มหาลัยให้ยืมมาพร้อมคนขับแต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง) ออกมาครึ่งชั่วโมงก็ผ่านแยกบางคล้า แล้วก็วิ่งไปต่อในเส้นทางที่เราไม่รู้จัก ข้างทางมีแต่ต้นไม้ นาข้าว ไร่ข้าวโพด เลี้ยวโค้งขึ้นเขาลงเขา ผ่านด่านตรวจ ถึงค่ายประมาณ 1 ทุ่ม แต่ก่อนถึงต้องเอารถบัสมหาลัยไปจอดฝากไว้ที่ โรงเรียนคลองอุดม เพราะทางไปค่ายรถใหญ่เข้าไม่ได้ติดต้นไม้ ทางเจ้าหน้าที่เค้าจัดรถมารับเป็นรถ 6 ล้อ นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 3 ก.ม. ก็มาถึงค่าย ค่ายนี้ตั้งอยู่ที่ หน่วยจัดการต้นน้ำคลองอุดม อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว คนที่หาค่ายนี้เจอคนแรกต้องสุดยอดจริงๆ บ้านคนแทบไม่มี มีแต่ไร่ข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทางมาก็สุดยอด เห็นถนนลาดยางหายไปต่อหน้าต่อตา แถมนั่งอยู่หลังรถ 6 ล้อ โดยเหวี่ยงไปมามันมาก วิ่งเข้าไปในป่า ต้องคอยหลบต้นไม้ให้ดีไม่งั้นเจ็บตัวแน่ มาถึงค่ายก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี มื้อนี้มีอะไรหลายอย่างที่เรากินไม่เป็น กินได้แต่ไข่พะโล้ แต่ไม่เป็นไร วันนี้กินมาเต็มที่แล้ว กลางวันกินก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษใส่ไข่ แล้วก็ขนนที่เราไม่รู้จักอีกหนึ่งอัน ก่อนขึ้นรถก็ซื้อซาลาเปาไส้ครีมลูกเกดจากเซเว่นอีก 3ลูก กินไป 2 ลูก อีกลูกไม่รู้วางลืมไว้ที่ไหน วันนี้รู้สึกจะกินมากเป็นพิเศษปกติกินแค่นมกล่องเดียว กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลากิจกรรมเริ่มจากแนะนำตัว ให้น้องๆจากโรงเรียน “วังไพร” ที่มาร่วมค่ายรู้จัก ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ม.5-6 โดนรับรุ่นพี่ ให้เต้นท่าไก่ย่าง 5 ดาว ไป 1ชุด แนะนำตัวเสร็จก็ไปรวมกับรุ่นน้อง ความหวังที่ว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งแป๊กไปเรียบร้อย แบ่งกลุ่ม เป็นสามกลุ่ม กลุ่มเรามีทั้งหมด 11 คน ทำกิจกรรมกับน้องๆอีกนิดหน่อยก็หมดเวลา เครื่องปั่นไฟน้ำมันกำลังจะหมดแล้ว คนที่อยู่ที่นี่ต้องสุดยอดจริงๆ ไม่มีไฟฟ้าต้องใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟกับแผงโซล่าเซลล์ สัญญาโทรศัพท์มีแค่ขีดเดียว ไม่มีทีวี ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ แต่คืนนี้มีขนมเฉาก๊วยให้กินเป็นมื้อดึก ง่วงนอนแล้ว เหนื่อย แต่ก็สนุกดี
DAY 2 08.08.52
4.15 น เครื่องปั่นไฟทำงาน ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงน้องๆผู้ชายตื่นแล้ว ตื่นเช้าจังนะไอ้พวกนี้ไม่ใช่อะไรหรอก ตื่นมาแย่งกันเข้าห้องน้ำน่ะซิ สำหรับเราอาบน้ำเสร็จก็นั่งเล่นนอนเล่นจนถึงเวลา หกโมงเช้า เข้าแถวออกกำลังกาย แต่รุ่นน้องปีหนึ่งของเราสองคนโดนรับน้องจากรุ่นพี่ของเรา ที่จบไปแล้ว สุดท้ายเรากับเพื่อนของเราก็โดนรับน้องไปกับเค้าด้วย โดนให้เอามือไขว่กันแล้วก็เดินไปพร้อมกัน ปากก็ตะโกนว่า “รักพี่ เสียดายน้อง ท้องทั้งพี่ทั้งน้อง” เฮ้ยไม่ใช่แล้ว อย่างนั้นก็คุกซิครับ ต้องพูดว่า “เคารพพี่ รักน้อง รักพวกพร้อง รักสิ่งแวดล้อม” แต่เราว่าบางทีก็ควรเติมคำว่า “ให้เกียรติรุ่นน้อง” ก็น่าจะดีนะ โดนรับน้องเสร็จ ก็เข้าไปรวมกับชาวบ้านเค้าทำกิจกรรมอีกนิดหน่อย ก็ถึงเวลามื้อเช้ากับข้าวมื้อนี้มีต้มเลือดหมูคนละหนึ่งชาม ต้องกินให้หมดด้วย สำหรับเรามันก็ OK นะ แต่น้องบางคนเล่นใส่พริกซะแดงเลย คงเผ็ดโคตรเห็นตอนกินทรมานน่าดู กินมื้อเช้าเรียบร้อยก็ถึงเวลาเล่นฐาน มีสามฐาน ฐานแรกให้ลอดเชือดกว่าจะผ่านมาได้แทบตาย นึกว่าไม่รอดซะแล้ว ฐานที่สองให้เดินอยู่บนผ้าใบผืนเดียวมีคนอยู่ตั้ง 11 คน โคตรเหนื่อยเลย ฐานสุดท้ายเอาลูกปิงป่องออกจากท่อ เล่นเราคอเคล็ดเลยโดนรุ่นน้องล้มใส่ เล่นครบสามฐานก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดีมื้อนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่
กิจกรรมตอนบ่ายของวันนี้คือ เดินป่า ป่าที่นี่เป็นป่าปลูกขึ้นใหม่แทนป่าเดิมที่โดนทำลายไปแล้ว อายุประมาณ 13 ปี เป็นป่าที่สมบูรณ์มาก มีลอยเท้ากระทิง กวาง ช้าง แล้วก็รถแทรกเตอร์เต็มไปหมด เดินป่าเสร็จก็โดนเล่นฐานปิดตาเดินป่า อันนี้ก็สุดยอด เล่นเอาหลายคนเละเลยโดยเฉพาะเราเดินจมโคลนรองเท้าจมไปมิดเลย ต้องปล่อยมือจากเชือดมาหารองเท้าตาก็ถูกปิด ก็ตอนแรกน้องที่เดินอยู่ข้างหน้าเราเกิดหยุดตรงบ่อโคลนแล้วก็ไม่บอก เราเดินตามมาข้างหลังก็ชนเข้า แล้วเซถอยถอยหลัง ขามันก็เลยจมไปลึกเลย “งานเข้าแล้วซิ” ไม่มีรองเท้าแล้วจะไปต่อยังไง ดีนะที่ขุดมันขึ้นมาได้ รุ่นพี่ไม่ช่วยเลย แอบหัวเราะอย่างเดียว หลุดจากบ่อโคลนมาก็ลงน้ำลึกแค่หัวเข่า แล้วก็ถึงเส้นชัย แต่ยังไม่วายโดนไอ้รุ่นน้องแสนดีมันแกล้งเอาซะได้ เล่นให้เราไปยืนถือไม้อยู่ในป่า ยังดีนะที่ไหวตัวทันไม่งั้นฮ่ากระจายแน่ ยิ่งคนท้ายๆยิ่งโดนแกล้ง เราก็เอากับเค้าด้วยแกล้งให้เดินลุยเข้าป่า เด็กที่นี่ชอบร้อง “เอ๊อะ” แปลว่า เจ็บ หรือ โอ๊ย บางทีก็ใช้ภาษาแปลกๆที่เราไม่รู้จักอย่างคำว่า “โอ๊ยไม้ตำปาก” ถ้าเป็นคำพูดทั่วไปต้องพูดว่า “โอ๊ยไม้กระแทกปาก” หัวแซ่งโคลนก็หมายถึงหัวทิ่มขี้โคลน แต่ฟังดูแล้วก็ตลกดีนะ
จบกิจกรรมเดินป่าก็เกือบห้าโมงเย็นออกจากป่าก็อาบน้ำ แล้วก็ต้องเตรียมบทละครอีกแล้ว คราวนี้ง่ายหน่อยพวกน้องๆคิดบทให้เลยง่าย บทละครก็มีอยู่ว่ามีนายพรานใจบาปหยาบช้าคนหนึ่งเข้าป่าไปล่ากวาง แต่โดนพวกต้นไม้ ลำธาร สัตว์ป่า ช่วยกันรุมด่า ไม่ใช่ซิต้องพูดว่ารุมสั่งสอน จนนายพรานสำนึกได้ เราเล่นเป็นนายพรานเอง โดนน้องมันด่าว่า “ไอ้นายพรานแก่หน้าหล่อ” แสดงละครเสร็จก็ถึงเวลาเล่นเกมวันนี้เราโชคไม่ดีแพ้ทุกรอบ โดนเต้นไปหลายท่า เราก็มีท่าหากินอยู่ท่าเดียว “มอเตอร์ไซค์เวปป้าจากค่ายบางพระ” กิจกรรมสุดท้ายของคืนนี้ ก็คือจุดเทียนรับน้องเข้าเป็นเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนนอนคืนนี้มีถั่วแดงต้มน้ำตาลเป็นของกินมื้อดึก อร่อยมาก.
DAY 3 09.08.52
วันนี้ก็ตื่นตอนตีสี่ เหมือนเดิม พวกน้องๆผู้ชายออกมาเดินเล่นกันอีกแล้ว เช้านี้พี่วิทยากรเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนขับรถออกไปข้างนอกมา ตอนขากลับเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ข้างทาง ตรงทางโค้ง คนขี่นั่งอยู่ข้างทางโบกมือบ๊ายบายให้แก แปลกนะคนที่นั่งมาด้วยกันกลับไม่เห็น หกโมงครึ่งแล้วถึงเวลาเรียกรวมออกกำลังกายแล้วก็เล่นกายกรรมเหนื่อยอีกแล้ว ออกกำลังกายเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเขียนบรรยายความรู้สึกที่มาค่ายนี้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับบ้านแล้ว มื้อเช้าวันนี้เป็นต้มฟัก (ที่นี่เรียกว่าต้มแฟง) กับผัดกระเพรารสชาติใช้ได้
กิจกรรมสุดท้ายของค่ายนี้คือไปปลูกป่า ต้องนั่งรถ 6 ล้อ เข้าไปในป่าอีกหลายกิโล ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขึ้นเนิน ลงเนิน เลี้ยวโค้ง โยกตัวหลบต้นไม้ สนุกมาก เรียกว่ามีแต่เสียงร้อง “โอ๊ย อุ๊บ แอ๊ก ย้าก” ไปตลอดทาง ครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง ไส้แทบจะหล่นลงมากองกันหมดแล้ว มาถึงพื้นที่ปลูกป่า ลงจากรถเดินเข้าป่าไปอีก 300 เมตร ถึงที่ปลูกป่า ก็ลงมือปลูกต้นไม้กันเลย อาจารย์ของเราบอกว่า “เสถียรถ้าปลูกได้ 100 ต้น เอา A วิชาอาจารย์ไปเลย” เราก็ตอบว่า YES SIR จัดให้ครับอาจารย์ แต่พอเอาจอบขุดดินก็รู้เลยว่าพลาดเสียแล้ว ดินแข็งมากบางจุดก็เป็นดินเหนียว ขุดได้ไม่ถึงไหน พวกน้องๆคงรำคาญเลยบอกว่า พี่ขวัญเอาจอบมาให้หนูเดี๋ยวหนูขุดให้ บ้านหนูทำไร่ ว่าแล้วน้องเค้าก็ขุดใหญ่เลยเล่นเอาเราอายเลย แต่เราก็ปลูกได้หลายต้นเหมือนกัน เกือบเที่ยงปลูกต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรถกลับทางที่มาตอนแรก ทางวิบากรอบสอง
กลับมาถึงค่ายเที่ยงครึ่งพอดีเปลี่ยนชุด แต่ไม่ได้อาบน้ำเดี๋ยวค่อยอาบตอนถึงบ้านก็ได้ บ่ายโมงกินข้าวมื้อสุดท้าย แล้วก็นั่งเล่าความรู้สึกของการมาค่ายนี้ของทุกคน ลืมบอกไปเราเจอซาลาเป่าลูกที่สามแล้วอยู่ในกระเป๋าเราเอง เซ่อจริงๆเลย จะกินมันก็ไม่กล้าเกรงใจท้อง เลยยกให้หมากิน ตอนแรกหมามันไม่กล้ากินเพราะเมื่อวานเราแกล้งโยนไม้ให้มันกิน วันนี้มันคงระแวงเราอยู่ แต่สุดท้ายมันก็กิน บ่ายสองก็ออกจากค่ายบอกลารุ่นพี่ ขึ้นรถ 6 ล้อ ออกไปอีกหลายกิโลคราวนี้สนุกกันใหญ่เพราะมีน้องๆจากรร.วังไพรร่วมทางมาด้วย ตอนนี้ก็เลยถ่ายวีดีโอไว้เสียดายที่โทรศัพท์เราหน่วยความจำเกือบเต็มแล้วเลยถ่ายได้น้อย มาถึง รร.คลองอุดมก็เปลี่ยนรถมาขึ้นรถบัสของเรา จะได้กลับบ้านแล้ว
14.53 น มาถึง รร.เรียนวังไพร ส่งน้องๆลงจากที่โรงเรียน บอกลาน้องๆ เด็กที่นี่น่ารักทุกคน ลาก่อนแล้วเจอกัน
15.35 น หลังจากส่งน้องๆแล้วตอนนี้รถบัสเงียบเหงามาก เหลือคนอยู่แค่ 10 คน ก็มีคนขับ อาจารย์ เพื่อนเรา 3 คน รุ่นน้องปีหนึ่ง 4 คน บนถนนข้างหน้าเราเห็นรถกระบะไตรตันท์ 4 ประตูสีน้ำเงินวิ่งอยู่เลนขวา(ถนนมีแค่สองเลน) รถบัสของเราวิ่งอยู่เลนซ้ายตามหลังมันจู่ๆไอ้รถไตรตันท์มันก็แบนหัวมาทางซ้ายเฉี่ยวกับรถบัสของเราสีถลอก ส่วนรถของมันด้านหน้าซ้ายบุไปถึงประตู คนขับรถของเราลงไปเจรจา พูดกับมันดีๆแต่มันกับด่าคนขับรถของเรา ด่าอาจารย์เรา พวกรุ่นน้องก็เลยลงไปล้อมตัวมันเตรียมสำเร็จโทษมัน แต่อาจารย์ห้ามไว้เพราะมันเมา รุ่นน้องของเราก็เมาพอกัน มันบอกให้ไปคุยกันที่โรงพัก พวกเราก็ขึ้นรถบัสขับตามมันไป แต่มันเล่นขับหนีหายไปเลย พวกเราก็คอยมองหามัน เห็นมันอยู่แต่ไกลขับรถส่ายเป็นงูน่ากลัวมาก รถคันอื่นต้องหลบลงข้างทาง รถบัสของเราไล่ตามมันไม่ทันแน่
15.55 น ระหว่างไล่ตามเจอรถตำรวจวิ่งสวนมา ช่วยกันโบกมือเรียกแล้วบอกตำรวจว่า รถชนแล้วหนีช่วยด้วย ลุงตำรวจแกก็เปิดไซเรนวิ่งไล่ตามมัน มันก็ยังขับหนีรถตำรวจ ไล่ตามกันไปอีกหลายร้อยเมตร ลุงตำรวจขับปาดหน้าให้มันหยุด แล้วตำรวจก็ลงมาล้อมรถมัน รถบัสของเราตามมาทันพอดี เห็นมันพูดท้าทายตำรวจ มันบอกตำรวจว่า “มึงจะเอาเงินเท่าไร” ลุงตำรวจเลยผลักมันล้มลงบนพื้นถนน แล้วบอกว่า “กูไม่ได้มารีดไถ่มึงนะ” เท่านั้นแหละมันถึงกับยกมือไหว้ตำรวจเลย ลุงตำรวจพามันขึ้นรถตำรวจไปโรงพัก พวกเราต้องไปโรงพักด้วย สนุกมากๆ
16.24 น โรงพักท่าตะเกียบ ไอ้คนชนมันเมาไม่รู้เรื่องเลยจะเดินหนีท่าเดียว ตำรวจต้องไปลากตัวกลับมามันไม่ยอมเดินสุดท้ายก็หกล้มเลือดออกเต็มขาเลย น่าสงสาร แต่ก็สมควรโดน มันดูถูกพวกเราก่อน มันบอกว่าพ่อมันอยู่บุรีรัมย์ แต่พ่อมันตายแล้ว แล้วมันบอกว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า 45 ล้าน ค้นดูในกระเป๋าไม่มีแม้แต่บาทเดียว สุดท้ายมันก็โดนพาไปวัดแอลกอฮอล์ แล้วก็ทำแผลที่โรงบาลพยา ระหว่างรอสอบสวน ไม่มีอะไรทำ ลงไปสำรวจโรงพักเล่น ถ่ายรูปที่โรงพัก ลุงตำรวจแกพาไปดูคุก แล้วก็สอนวิชากฎหมายให้ฟัง
17.30 น ยังสวบสวนไม่เสร็จ อาจารย์เลยให้เงินพวกเราไปซื้อข้าวกิน แล้วอย่างลืมซื้อให้อาจารย์กับคนขับรถด้วย ตอนไปซื้อข้าวได้ยินชาวบ้านแถวนั้นพูดเรื่องรถที่ขับหนีตำรวจด้วยเหมือนในหนังเลย แล้วถามว่าพวกเราใช่พวกที่มากับรถบัสคู่กรณีหรือเปล่า เราตอบว่าใช่
ซื้อข้าวเสร็จก็พากันมานั่งกินที่ศาลาพักร้อน กินยังไม่ทันเสร็จมีผู้หญิงใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงขาสั้น รองเท้าหนัง ถือหนังสือเดินตรงมาที่พวกเรานั่งกินข้าวกันอยู่ ถามพวกเราว่า “จะพักค้างคืนที่หรือคะ” อาจารย์ตอบว่า “ไม่ครับรถของพวกเราเสียก็เลยมานั่งพัก”ไม่ได้บอกเรื่องจริงเพราะดูท่าทางจะสติไม่ดี เราก็เดินเข้าไปหาเอาน้ำไปให้ แต่เธอบอกว่าขอเปลี่ยนเป็นเงินได้มั้ย นั่นเลยงานเข้าอีกแล้ว เราตอบกลับไปว่าเราเป็นนักศึกษาไม่มีเงิน “หนีคนเมาเจอคนบ้า”
19.00 น สอบสวนเสร็จตำรวจบอกให้พวกเรากลับบ้านได้ ส่วนไอ้คนเมาต้องติดคุก 1 คืนแน่นนอน แล้วถ้าคดีถึงศาลอาจต้องติดคุกอีก 1 เดือน ต้องขอขอบพระคุณตำรวจ ส.ภ.ท่าตะเกียบที่ช่วยเหลือพวกเรา ขอบคุณมากครับ
ตอนนี้มืดมากแล้ว ถนนไม่มีแสงไฟต้องเพิ่มความระวังเป็นสองเท่า หน้ารถมีคนนั่งอยู่แค่สี่คน มีอาจารย์ คนขับ เพื่อนเรา แล้วก็เรา เรานั่งข้างคนขับ ที่เหลือนั่งกระจายกันอยู่ตรงกลางแล้วก็ท้ายรถ หลังจากขับออกจากโรงพักไม่นาน เห็นข้างทางมีคนใส่เสื่อสีขาวเดินอยู่ข้างถนน เราพูดกับเพื่อนว่าคนคนนี้เค้าไม่กลัวหรือไง ออกมาเดินทำไม บนถนนมีแต่ซากหมาโดนรถทับ แถมมืดมากด้วย วันต่อมาเพื่อนมาบอกว่าผู้ชายที่เราเห็นตอนนั้น ตอนที่เราพูด เพื่อนที่นั่งอยู่ตรงกลางรถก็เลยหันหลังกลับไปดู เห็นผู้ชายคนนั้นไม่มีหน้าตาไม่มีปาก ตา จมูก มีแต่เลือด!!
เกือบสามทุ่มพวกเราก็มาถึงแปดริ้วคนขับรถไปส่งที่ขนส่งแปดริ้ว แต่รถโดยสารทุกสายที่วิ่งผ่านบ้านเราหมดแล้วไม่มีรถกลับ ต้องโทรเรียกแม่มารับ สามทุ่มครึ่งถึงบ้าน อาบน้ำแล้วก็นอนเลย มาค่ายคราวนี้ได้ครบรสชาติเลย ทั้ง โหด มัน ฮ่า เรื่องน่ากลัว เรื่องตื่นเต้น สนุกมาก.
*รูปภาพดูเอาในบล็อกนะครับ.
วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)








.jpg)
.jpg)
.jpg)





















