วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ

ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ
วีรกรรมของยุวชนทหารไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484

เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร 2 จุด คือที่บ้านแหลมดิน และบ้านคอสน ทหารญี่ปุ่นที่บ้านแหลมดินเป็นส่วนล่วงหน้า จัดรูปขบวนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่ถนนชุมพร ปากน้ำ ทหารญี่ปุ่นที่บ้านคอสนเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้ ตามแนวชายฝั่ง ไปสมทบกับส่วนล่วงหน้าที่สะพานท่านางสังข์เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองชุมพร
หลวงจรูญประศาสน์ (จรูญ คชภูมิ) ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรทราบข่าวการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นเมื่อราวประมาณ 6 นาฬิกา 30 นาที จึงสั่งให้ พ.ต.ต.หลวงจิต การุณราษฏร์ ผู้กำกับตำจรวจภูธร และร้อยเอกถวิล นิยมเสน ผู้บังคับหน่วยฝึกยุวชนทหารที่ 52 ให้จัดกำลังไปต้านทานทหารญี่ปุ่นที่จะเข้าทางปากน้ำชุมพร ในเวลาเดียวกันกองพันทหารราบที่ 38 ชุมพร มีที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางตะวันตก ตามถนนชุมพร-กระบุรี 9 กิโลเมตร ได้ทราบข่าวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและทราบว่ากำลังตำรวจและยุวชนทหารกำลังออกไปต่อสู่ต้านทานอยู่แล้ว แต่วันที่ 8ธันวาคม เป็นวันหยุดราชกาลและหน่วยทหารได้อนุญาตให้ทั้งนายทหารและพลทหารบางคนลาหยุดตามปกติ เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ควรเตรียมพร้อม แต่มีหน่วยหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่สนามบินทับไก่ อยู่ห่างจาก ร.พัน.38 ไปตามถนนทางตะวันตกอีก 3 กม. หน่วยนี้ได้เข้าผลัดเปลี่ยนกำลังตำรวจและยุวชนทหารในเวลาต่อมา
เวลาประมาณ 7 นาฬิกา 15 นาที ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้เคลื่อนย้ายกำลังออกปฏิบัติการ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ใช้กำลังยุวชนทหาร 5 คน ตำรวจภูธร 5 คน และราษฎรอาสาสมัคร 1 คน พร้อมด้วยปืนกลเบา 1 กระบอก ในความควบคุมของ จ่าสิบเอกจง แจ้งชาติ เดินทางมุ่งไปรักษาเส้นทางอ่าวพนังตัก หน่วยแยกนี้ไม่พบข้าศึกเลย
ส่วนที่ 2 ใช้กำลังยุวชนทหาร 30 คน ในความควบคุมของร้อยเอกถวิล นิยมเสน และสิบเอกสำราญ ควรพันธ์ ครูฝึก เคลื่อนย้ายโดยรถยนต์บรรทุกตามเส้นทางชุมพร-ปากน้ำไปสะพาน ท่านางสังข์
ยุวชนทหารทั้งหมดที่ออกไปสู้กับทหารญี่ปุ่น เป็นยุวชนทหารชั้นปีที่ 2 ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีและกำลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 ของปีการศึกษานั้น
เมื่อไปถึงสะพานท่านางสังข์ก็ต้องหยุดเข้าสมทบกับกำลังตำรวจที่กำลังปะทะกับข้าศึกอยู่ก่อน ร้อยเอกถวิลฯ ขึ้นไปตรวจการณ์บนสะพานถูกข้าศึกยิงแต่ไม่เห็นตัวข้าศึกเพราะบริเวณนั้นเป็นป่าสลับกับสวนมะพร้าว ทุ่งนาป่าละเมาะ และข้าศึกก็พรางตัวอย่างดีด้วยใบไม้ กิ่งไม้ ร้อยเอกถวิลฯ จึงรวมกำลังยุวชนทหารทั้งหมดข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม โดยให้ยุวชนทหาร 3 คนที่ไม่มีปืนกลับไปรับกระสุนเพิ่มเติมจากในเมือง ในการเคลื่อนที่ข้ามสะพานไปยึดพื้นที่ฝั่งตรงข้ามนั้น ร้อยเอกถวิลฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารทุกคนติดดาบพร้อมที่จะเข้าตะลุมบอนทหารญี่ปุ่นทันที แต่ โชคไม่ดีขณะวิ่งนำยุวชนทหารอยู่นั้น ร้อยเอกฯ ถูกยิงเข้าที่ซอกคอ ทะลุหลอดลมเสียชีวิตทันที ยุวชนทหารวัฒนา นิตยนารถ ได้รายงานให้สิบเอก สำราญฯ ทราบ สิบเอกสำราญฯ จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมยุวชนทหารแทน และได้สั่งให้ยิงต่อสู้ข้าศึกต่อไปอย่างเหนียวแน่น ทหารญี่ปุ่นได้เพิ่มเติมกำลังเข้ามาเรื่อยๆโดยพรางตัวด้วยกิ่งไม้ ใบไม้ ดูไกลๆ คล้ายป่าเคลื่อนที่เข้ามา ฝนก็ตกหนักอยู่ตลอดเวลา ยุวชนทหารได้รับคำสั่งให้ยิงทันทีที่เห็นกิ่งไม้ ใบไม้ไหวทำให้ทหารญี่ปุ่นหยุดเคลื่อนที่เข้ามาขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงทหารญี่ปุ่นร้องเมื่อถูกยิงอย่างชัดเจน สิบเอกสำราญฯเองก็ถูกยิงที่แขนขวา เนื้อขาดไปทั้งก้อน ปืนหลุดจากมือ ยุวชนทหารลออ เหมาะพิชัย ได้เข้ามาปฐมพยาบาลใช้ผ้าพันแข้งมัดแขนสิบเอก สำราญฯไว้ชั่วคราว สิบเอกสำราญฯ ได้มอบปืนให้ยุวชนทหารวัฒนาฯ ยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนที่เข้ามา
ขณะที่การรบกำลังติดพันอยู่นั้น ยุวชนทหารคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่ามีทหารญี่ปุ่นมาทางซ้าย ประมาณ 200 คน มีธงพื้นขาววงกลมแดงอยู่ตรงกลางนำหน้ามาด้วย ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร (ทราบภายหลังว่า ญี่ปุ่นพยายามจะเข้าขอเจรจาด้วยอ้างว่าได้ติดต่อกับรัฐบาลไทยให้ผ่านได้แล้ว) สิบเอกสำราญฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารเปลี่ยนเป้าหมายไปยิงเป้าหมายใหม่ทันทีทำให้กองทหารญี่ปุ่นต้องหยุดเคลื่อนที่ และตอบมาด้วยปืนเล็ก ปืนกล และลูกระเบิดขว้าง อย่างหูดับตับไหม้ ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีรถยนต์ปักธงขาวคันหนึ่งแล่นมาจากตัวเมืองข้ามสะพาน ท่านางสังข์ มายังตำบลที่ยุวชนทหารอยู่ จึงทราบว่าเป็นรถข้าหลวงประจำจังหวัดกับคณะ มี ร้อยตรีทองบาน รังครัตน์ ประจำ บก.ร.พัน.38 อยู่ในคณะเจรจาหยุดยิงตามคำสั่งทางวิทยุจากรัฐบาล ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านคอคอดกระไปยังประเทศพม่าได้ ญี่ปุ่นหยุดยิงทันทีที่เห็นรถคันนี้การรบจึงยุติลง
ผลการสู้รบระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร เมื่อ 8 ธันวาคม 2484
ฝ่ายเรา ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ยุวชนทหาร และตำรวจเสียชีวิต 5 คน ทหาร ตำรวจและ ราษฎรอาสาสมัคร บาดเจ็บ 5 คน
ฝ่ายข้าศึก ญี่ปุ่นแจ้งให้ทราบว่า ตาย 11 คน เป็นนายทหารยศ ร้อยเอก 1 คน พลทหาร 10 คน บาดเจ็บ 7 คน แต่ปรากฏตามหลักฐานฝ่ายเราว่าชาวบ้านไปพบศพทหารญี่ปุนบริเวณ ทิศตะวันออก ของสะพานท่านางสังข์ 23 ศพ เป็นนายทหาร 3 คน พลทหาร 20 คน
ชื่อของบทความนี้ได้มาจากหนังเรื่องยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ เป็นหนังที่ดีมากควรค่าที่จะไปหาดู เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายเรื่องราวของนักศึกษาวิชาทหารได้ครบทุกองค์ประกอบดูแล้วได้อารมณ์มาก
สำหรับข้อมูลทั้งหมดของบทความนี้คัดลอกและดัดแปลงมาจาก หนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารชาย ชั้นปีที่ 3 พ.ศ.2548 เป็นเรื่องจริงจากรายงานของกองทัพ ไม่ได้ใส่สีหรือแต่งเติม นี่คือความกล้าหาญของยุวชนทหารไทย ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุประมาณ 14-15-16 ปี มีอาวุธเพียงปืนเล็กยาวแบบ 66 ติดดาบปลายปืน ได้เข้าร่วมต่อสู้กับข้าศึกอย่างไม่กลัวความตาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยที่พวกเขารัก
แล้วทำไม พวกเราถึงยังทะเลาะกัน แบ่งแย่งฝ่ายโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน พวกเราทำทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่า วีรชนในอดีตของเราต้องเสียเลือดเนื้อเพียงใดเพื่อรักษาความเป็นไทยของเราไว้ มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องจับมือกัน แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และร้องเพลงนี้เพื่อประเทศไทยของเรา
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ
ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย
รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใคร่ข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิง ประเทศชาติไทย ทวีมีชัย ชโย

แด่ยุวชนทหารผู้กล้าหาญ และผู้ที่กำลังหลงผิด
KSWAN