วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

What ever will be

การผลิตน้ำประปา

การผลิตน้ำประปา

น้ำประปา หมายถึงน้ำเป็นที่ผ่านขบวนการบำบัดทั้งทางเคมีและชีวภาพต่าง ๆ มากมายจนสะอาดปราศจากเชื้อโรคสามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ กระบวนการผลิตเริ่มจากขั้นตอนพื้นฐาน 6 ขั้นตอน คือ

1.การสูบน้ำดิบ
โรงสูบน้ำแรงต่ำจะทำการสูบน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อลำเลียงเข้าสู่ระบบผลิต น้ำดิบที่สามารถนำมาผลิตน้ำประปาได้นั้นต้องเป็นน้ำที่ไม่มีสี ไม่มีรส ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกปนเปื้อนเกินกว่าที่กำหนด และต้องมีปริมาณมากเพียงพอ ที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้อย่างต่อเนื่อง
แหล่งน้ำดิบ (Raw Water) ที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำประปา ได้มีการจำแนกชนิดของแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ตามลักษณะของคุณภาพของแหล่งน้ำดิบออก ได้เป็น
1. น้ำที่ไม่ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ ( Water requiring no treatment ) จัดเป็นน้ำที่สะอาด สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้เลย ได้แก่น้ำบาดาล ที่ไม่ถูกปนเปื้อนจากสิ่งสกปรก หรือสารเคมีต่างๆ
2.น้ำที่ต้องผ่านขั้นตอนการฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น ( Water requiring disinfection only ) จัดว่าเป็นน้ำที่ใส และค่อนข้างสะอาด แต่ต้องทำการฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในน้ำก่อนที่จะใช้อุปโภคหรือบริโภค น้ำประเภทนี้ได้แก่ น้ำบาดาล และน้ำผิวดิน ที่มีการปนเปื้อนเล็กน้อย มีค่า เอ็มพีเอ็น (MPN) ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 50 /น้ำ 100 มิลลิลิตรของแต่ละเดือน
3.น้ำที่ต้องผ่านระบบการกรองเร็ว และต้องการมีการเติมคลอรีนก่อนหรือเติมคลอรีนภายหลัง ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่ถึงชั้นน้ำในชนิดที่ 1 และ 2 มีค่าเอ็มพีเอ็น ของโคโรฟอร์มแบคทีเรียไม่เกิน 5,000 / น้ำ 100 มิลลิกรัม ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่างที่ตรวจในเดือนใด ๆ น้ำชนิดนี้มักขุ่นและปนเปื้อนด้วยมลสาร
4.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพเพิ่ม นอกเหนือจากต้องผ่านระบบการกรองและเดินคลอรีนภายหลังแล้ว น้ำชนิดนี้ต้องผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพขั้นต้น (preliminary treatment) โดยการทำให้ตกตะกอนก่อนด้วยการเก็บกักไว้เป็นเวลา 30 วัน และต้องมีการเติมคลอรีนก่อน (pre-chlorination) น้ำชนิดนี้มีค่าเอ็มพีเอ็น เกินกว่า 5,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 20% ของน้ำตัวอย่าง แต่ไม่เกินกว่า 20,000 /น้ำ 100 มิลลิลิตร ในจำนวน 5% ของน้ำตัวอย่างที่เก็บมา
5.น้ำที่ต้องผ่านกรรมวิธีปรับปรุงคุณภาพพิเศษ ( Water requiring unusual treatment measures ) ได้แก่น้ำที่มีคุณภาพไม่จัดอยู่ในประเภททั้ง 4 ข้างต้น และมีค่าเอ็มพีเอ็นเกินกว่า 250,000 /น้ำตัวอย่าง 100 มิลลิลิตร




2. การปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ

น้ำดิบที่สูบเข้ามาจะถูกผสมด้วยสารเคมี เช่น สารส้มและปูนขาว เพื่อทำการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบ สารละลายสารส้มจะช่วยสารแขวนลอยในน้ำ ตกตะกอนได้ดีขึ้น สารละลายปูนขาวจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำหรือสาหร่ายในน้ำ บางครั้งอาจมีการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคปนเปื้อนมากับน้ำ

3. การตกตะกอน

ขั้นตอนนี้จะปล่อยน้ำที่ผสมสารส้มและปูนขาวแล้ว ที่ทำให้เกิดการหมุนเวียน เพื่อทำให้น้ำกับสารเคมีรวมตัวกันจะช่วยให้มีการจับตัวของตะกอนได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นน้ำเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่ถังตะกอน ที่มีขนาดใหญ่ เพื่อพักร้อนทำให้เกิดน้ำนิ่ง ตะกอนที่มีขนาดใหญ่น้ำหนักมากจะตกลงสู่ก้นถังและถูกดูดทิ้ง ส่วนน้ำใสที่อยู่ด้านด้านบนจะไหลตามรางรับน้ำเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป

4. การกรอง

การกรองน้ำ จะใช้ทรายหยาบและทรายละเอียด เพื่อทำการกรองตะกอนขนาดเล็กในน้ำ และทำให้น้ำมีความใสสะอาดมากขึ้น ในขั้นตอนนี้น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว จะมีความใสมากแต่จะมีความขุ่นหลงเหลืออยู่ประมาณ 0.2-2.0 หน่วยความขุ่น ทรายที่ใช้กรองน้ำจะมีการล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การกรองมีประสิทธิภาพ

5. การฆ่าเชื้อโรค

น้ำที่ผ่านการกรองมาแล้วจะมีความใส แต่ยังมีเชื้อโรคเจือปนมากันน้ำ ดังนั้นจึงต้องทำการฆ่าเชื้อโรค โดยการใช้คลอรีน ซึ่งคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างดี น้ำที่ได้รับการผสมคลอรีนแล้ว เรียกว่า น้ำประปา สามารถนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคได้ ประปาจะถูกเก็บไว้ในถังขนาดใหญ่ เรียกว่า ถังน้ำใส เพื่อรอการจัดการจ่ายน้ำออกให้ประชาชนใช้ต่อไป
น้ำประปาที่ทำการผลิตมาแล้ว จะต้องวิเคราะห์ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจากนักวิทยาศาสตร์ และการตรวจสอบนี้จะทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้น้ำประปาที่สะอาด ปลอดภัย สำหรับการอุปโภคบริโภค

6. การสูบจ่าย

น้ำประปาที่ผลิตมาแล้ว จะต้องให้บริการถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ ด้วยการส่งน้ำผ่านไปตามท่อน้ำ ดังนั้นการสูบจ่ายน้ำจึงมีความจำเป็นมากเพื่อให้น้ำประปาสามารถส่งไปถึงบ้านของประชาชนผู้ใช้น้ำ น้ำประปา จะถูกส่งขึ้นหอสูง เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ ทำให้สามารถบริการได้ในพื้นที่ใกล้เคียง และในพื้นที่ห่างไกลออกไป
แหล่งที่มาของน้ำที่นำมาผลิตน้ำประปา

น้ำจืดในธรรมชาติ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 2 ประเภท คือ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน หรือน้ำบาดาล

1.น้ำผิวดิน (Surface Water) ได้มาจากน้ำฝนไหลรวมลงสู่แอ่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำ และไหลออกสู่ทะเล

2.น้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาล (Ground Water) เกิดจากการไหลซึมผ่านชั้นดินและทรายของน้ำผิวดิน ลงไปกักเก็บไว้ในโพรงชั้นหินที่มีรูพรุน ใช้เวลานับสิบนับร้อยปี หรือพันปี ระดับลึกตั้งแต่ 10 เมตร จนถึงหลายร้อยเมตร

น้ำฝนเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งเจือปน เป็นน้ำกลั่นจากเครื่องกลั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ระเหยน้ำจากแม่น้ำ ลำธาร ทะเล มหาสมุทร ให้เป็นไอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าจับตัวเป็นเมฆ หมอก กลั่นตัวเป็นน้ำฝน หิมะ ลูกเห็บ ตกลงสู่โลก เนื่องจากเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ จึงมีความสามารถในการละลายสูง เมื่อไหลผ่านพื้นดินที่ไม่มีต้นไม้คลุม จะเกิดการกัดเซาะตะกอนดินทำให้น้ำขุ่น หากทั่วทุกพื้นที่ประเทศมีแต่ต้นไม้ และพืชคลุมดิน น้ำผิวดินทั้งประเทศก็จะเป็นน้ำใต้ดิน การซึมผ่านชั้นดินชั้นทราย ยิ่งลึกมากน้ำก็จะยิ่งใสมาก
ความแตกต่างสำคัญระหว่างน้ำผิวดินและน้ำบาดาล คือ น้ำผิวดิน บางแห่งจะมีความขุ่นสูง แต่มีแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีน้อย ขณะที่น้ำบาดาลจะใส แต่ปริมาณแร่ธาตุที่ละลายปนอยู่จะมีสูง เพราะน้ำใต้ดินผ่านการละลายแร่ธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในชั้นใต้ดิน
น้ำบาดาลบางแหล่งมีแร่ธาตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพละลายปนอยู่ เช่น น้ำบาดาลภาคเหนือมีแร่ฟลูออไรด์สูง ดื่มแล้วทำให้ฟันตกกระ ดำ น้ำบาดาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอนุมูลคลอไรด์ ทำให้น้ำมีรสกร่อย เค็ม น้ำบาดาล กทม. และปริมณฑลที่ กปน. เคยใช้หลายแหล่งมีอนุมูลเหล็ก แมงกานีส ในรูปที่ละลายน้ำได้ เมื่อเปิดก๊อกใหม่ๆ น้ำจะใส พอได้สัมผัสอากาศ หรือคลอรีน ที่ใช้ฆ่าเชื้อโรค ก็จะเปลี่ยนเป็นรูปที่ไม่ละลายน้ำ ทำให้น้ำมีสีแดง น้ำตาลแดง ตั้งทิ้งไว้จะมีตะกอนเหล็กแมงกานีสสีแดง น้ำตาลแดง ซักผ้า ผ้าจะมีสี ทิ้งไว้นานๆ เครื่องสุขภัณฑ์จะมีคราบสีน้ำตาล และหลายแหล่งก็มีอนุมูลคลอไรด์ทำให้น้ำมีรสกร่อยด้วย นอกจากนี้ อนุมูลเหล็กยังทำให้น้ำบาดาลมีกลิ่นสนิมเหล็กเป็นลักษณะเฉพาะของน้ำบาดาลประการหนึ่ง
กลิ่นสนิมเหล็กนี้ ประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าเป็นกลิ่นคลอรีน ที่ร้องเรียนว่าน้ำประปาเหม็นคลอรีนนั้น เมื่อตรวจสอบแล้วจะพบว่ากว่าร้อยละ 99 เป็นสาเหตุจากสนิมเหล็กในน้ำบาดาล หรือในน้ำประปาผิวดินจากเส้นท่อเก่าเป็นสนิมก็พบได้ แต่กรณีเส้นท่อเป็นสนิม เปิดก๊อกน้ำทิ้งอาการเหม็นจะหายไป กรณีจากน้ำบาดาลเอง เปิดทิ้งนานเท่าใดก็ยังได้กลิ่นอยู่
นอกจากปัญหาคุณภาพที่ทำให้น้ำบาดาลไม่เป็นที่นิยมแล้ว ปัญหาการนำน้ำบาดาลมาใช้ในปริมาณมากเกินไป จนน้ำผิวดินไหลซึมลงทดแทนไม่ทัน ทำให้เกิดการทรุดตัวทั่วทั้งผืน

ในส่วนของน้ำผิวดินก็มีปัญหามากมาย เช่นเดียวกับน้ำใต้ดิน การทิ้งสิ่งสกปรก น้ำเสียของชุมชนริมน้ำ วัตถุมีพิษทางการเกษตรของแหล่งเกษตรกรรม น้ำเสีย สารพิษ โลหะหนักจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คุณภาพน้ำผิวดินของแหล่งน้ำ ลำธาร คลอง แม่น้ำเสื่อมทรามลง อยู่ในสภาพเน่าเสียใช้อุปโภคบริโภคโดยตรงไม่ได้


ข้อดีของน้ำประปาเมื่อเทียบกับน้ำกลั่น

การประปาผลิตน้ำประปาที่ได้มาตรฐานน้ำดื่ม น้ำประปาจึงมีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับดื่ม มีปริมาณแร่ธาตุหลากหลายที่ได้สมดุลย์แล้ว เมื่อร่างกายรับเข้าไปสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ต่างไปจากน้ำกลั่นทั้งโดยความร้อน หรือโดยการกรองกลับ (Reverse Osmosis : RO) น้ำกลั่นเป็นน้ำบริสุทธิ์ มีอำนาจการละลายสูง โดยตัวของมันเองยังขาดสมดุลย์อยู่ เมื่อรับเข้าสู่ร่างกายก็ต้องปรับสมดุลย์โดยการดึงแร่ธาตุต่างๆ ในร่างการออกมา น้ำกลั่นเป็นน้ำที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสำหรับการผลิตยา การเติมแบตเตอรี่ไม่ใช่มาตรฐานน้ำดื่ม จะมีประโยชน์อะไรกับความสิ้นเปลืองสำหรับการดื่มน้ำกลั่น ปราศจากแร่ธาตุเจือปน ในเมื่ออาหารที่เรารับประทานทุกวันมีทั้งแร่ธาตุ กากใย สารพิษ ซากพืช

อ้างอิง

http://reg10.pwa.co.th/pwa10/Knowledge/ProductChart.php © Copyright by งานเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานประปาเขต 10 นครสวรรค์
http://www.pwa.co.th/document/clorine.html ที่มา : วารสารการประปานครหลวง
http://images.google.com/imgres?imgurl
http://202.129.59.73/tn/khantron/new_page_4.htm

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คำตอบข้อสอบปลายภาคของ KSWAN ถูกรึป่าว? ไม่รู้ซิ!!!

ข้อสอบปลายภาค

Date: Thu, 24 Sep 2009 07:11:23 -0700
From: thaiscience2000@yahoo.com
Subject: ข้อสอบปลายภาค\
To: kamfared@hotmail.com

ให้แจ้งแก่นักศึกษาทั้งกลุ่ม
สอบปลายภาค การติดตามตรวจสอบฯ
ให้นักศึกษาพิจารณาโจทย์และคำตอบโดยรอบครอบ
โจทย์ กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน ถ้านักศึกษาที่เรียนสาขานี้เป็นคนในหมู่บ้านนี้ท่านจะทำอย่างไร ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงอธิบายประกอบทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

กำหนดส่งทาง e-mail 5 ตุลาคม 2552 ก่อน 12.ooน

กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน

การสืบสวนพบว่า ประเด็นที่น่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือ
1.แหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่กลางทุ่งนา
2.แหล่งน้ำแห่งนี้ถูกใช้ในกิจกรรมต่างๆของชุมชน
3.อยู่มาช่วงหนึ่งพบว่ามีผักตบชวาขึ้นเต็มแหล่งน้ำ
4.ช้างตายเพราะกินผักตบชวา

วิเคราะห์ประเด็นที่น่าสนใจ
1.แหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้อยู่กลางทุ่งนา เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า แหล่งน้ำแห่งนี้อาจมีการปนเปื้อนสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยที่ใส่ในนาข้าว เมื่อฝนตกน้ำฝนก็จะชะล้างสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยจากดินในนาข้าวแล้วไหลลงไปในแหล่งน้ำ จากข้อมูลที่ได้ในรายงานคาดว่าแหล่งน้ำแห่งนี้น่าจะมีลักษณะเป็นแหล่งน้ำปิด ที่มีทางน้ำเข้ามาในแหล่งน้ำ แต่ไม่มีทางน้ำออก ทำให้สารเคมีที่ใช้ในการเพาะปลูก เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ไหลลงมาในแหล่งน้ำแล้วเกิดการสะสมในแหล่งน้ำแห่งนี้ จนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ และชาวบ้านที่นำน้ำจากแหล่งน้ำแห่งนี้ไปใช้ ก็อาจได้รับอันตรายจากการปนเปื้อนสารปราบศัตรูพืช และปุ๋ย ดังนั้นประเด็นจึงมีน้ำหนักพอที่จะเชื่อได้ว่ามีส่วนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

2.แหล่งน้ำถูกใช้ในกิจกรรมชุมชน จึงเป็นไปได้ว่าอาจมีการปนเปื้อน สารเคมี อินทรีย์สารและ อนินทรีย์สาร ซึ่งอาจมาจากน้ำเสีย น้ำทิ้งจากกิจกรรมต่างๆในครัวเรือน เช่น น้ำซักผ้า น้ำล้างจาน เศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งลงในแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำมีการปนเปื้อน น้ำล้างจานและน้ำซักผ้ามีสารพวกไนโตรเจน กับฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นธาตุอาหารที่สามารถทำให้พืชน้ำเจริญเติบโตได้ โดยเฉพาะน้ำซักผ้า ในผงซักฟอกมีสารโซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่ลดความกระด้างของน้ำและเป็นตัวช่วยให้น้ำเป็นด่าง ป้องกันสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากเนื้อผ้า ไม่ให้ย้อนกลับมาเกาะเนื้อผ้าอีก และผงซักฟอกมีฟอสเฟตซึ่งเป็นอาหารของพืช เมื่อฟอสเฟตไหลลงสู่แหล่งน้ำ ฟอสเฟตจะช่วยให้สาหร่ายและพืชชั้นต่ำเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ จากข้อมูลดังกล่าวทำให้มีหลักฐานยืนยันได้ว่าประเด็นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน

3.อยู่มาช่วงหนึ่งพบว่ามีผักตบชวาขึ้นเต็มแหล่งน้ำ การที่มีวัชพืชขึ้นในแหล่งน้ำเป็นจำนวนมาก และเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วนั้นแสดงว่า ในแหล่งน้ำแห่งนี้ต้องมีพวกธาตุอาหารที่พืชชอบอยู่ในแหล่งน้ำเป็นจำนวนมาก ธาตุอาหารในแหล่งน้ำแห่งนี้ น่าจะมีทั้งพวกที่เป็นสารเคมี เช่นสารปราบศัตรูพืช ปุ๋ยที่ใช้ใส่ในนาข้าว เพื่อให้ข้าวเจริญเติบโตได้ผลผลิตที่ดี เมื่อฝนตกลงมาทำให้เกิดการ ชะล้าง สารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำเกิดการสะสม สารเคมีที่เป็นอันตราย และปุ๋ยโดยเฉพาะฟอสฟอรัส และไนโตรเจนในแหล่งน้ำ แล้วยังมีน้ำเสียจากกิจกรรมในชุมชนร่วมด้วย
ฟอสฟอรัสและไนโตรเจน เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของพืชน้ำ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ยูโทรฟิเคชั่น Eutrophication
Eutrophication คือการที่แหล่งน้ำสะสมธาตุอาหารที่กระตุ้นให้พืชบางประเภทเช่น สาหร่ายและวัชพืชในน้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยธาตุอาหารเช่น ฟอสฟอรัส และไนโตรเจนมาจากปุ๋ยที่ใช้ในนาข้าว และน้ำจากกิจกรรมที่ใช้ในชุมชน เช่น น้ำล้างจาน ก็มีส่วนประกอบของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในผงซักฟอกมีส่วนประกอบของโซเดียมไทรโพลิฟอสเฟต เป็นสารที่ใส่เพื่อลดความกระด้างของน้ำและเป็นตัวช่วยให้น้ำเป็นด่าง ป้องกันสิ่งสกปรกที่หลุดออกจากเนื้อผ้า ไม่ให้ย้อนกลับมาจับกับเนื้อผ้าได้อีก ชาวบ้านอาจจะซักผ้า ล้างจานแล้วก็เทน้ำทิ้งลงในแหล่งน้ำ หรือน้ำฝนอาจจะชะล้างเอาสารปราบศัตรูพืชและปุ๋ยลงสู่แหล่งน้ำทำให้เกิดจากสะสมธาตุอาหาร พืชชั้นต่ำพวกสาหร่ายในน้ำก็จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ปรากฏการยูโทรฟิเคชั่น ทำให้เกิดผลเสียกับแหล่งคือ เมื่อมีธาตุอาหารสะสมจำนวนมากในแหล่งน้ำ วัชพืชในน้ำก็จะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ปกคลุมผิวน้ำปิดกั้นแสงสว่าง ทำให้แสงสว่างส่องลงไปถึงพื้นน้ำข้างล่างไม่ได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง เมื่อพืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ พืชเหล่านั้นก็จะตายลง ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยกินพืชใต้น้ำเป็นอาหารไม่มีอาหาร สุดท้ายก็ต้องตายหรือย้ายไปอยู่ที่อื่น และสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำนั้น ก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เพราะในน้ำมีออกซิเจนน้อย เพราะมีวัชพืชขึ้นปกคลุมผิวน้ำปิดกั้นแสงสว่างไม่ให้ส่องไปถึงข้างล่างได้ ทำให้พืชที่อยู่ใต้น้ำไม่สามารถสังเคราะห์แสงเพิ่มออกซิเจนในน้ำได้
วัชพืชที่ปกคลุมผิวน้ำจำนวนมากนั้นมากจากธาตุอาหารที่มีอยู่ในแหล่งน้ำ ทำให้วัชพืชเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วปกคลุมทั่วผิวน้ำ การที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ในแหล่งน้ำจำนวนมากก็แปลว่า พวกวัชพืชเหล่านั้นต้องการอาหารมาก สุดท้ายก็จะเกิดการแย่งอาหารกัน และเมื่อธาตุอาหารในน้ำหมดลง วัชพืชก็จะขาดอาหารแล้วก็ตายลงพร้อมกัน แล้วก็จมลงก้นแหล่ง ผลที่ตามมาก็คือวัชพืชจะเกิดการย่อยสลาย แต่เป็นการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้น้ำในแหล่งน้ำเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่ง และชาวบ้านที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำในการทำกิจกรรมต่างๆก็จะได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถใช้น้ำจากแหล่งน้ำนี้ได้
ซึ่งประเด็นก็สอดคล้องกับปรากฏการยูโทฟิเคชั่น การที่มีผักตบชวาขึ้นในแหล่งน้ำ ก็แปลว่าในแหล่งน้ำแห่งนี้มีธาตุอาหารให้พวกมันได้ใช้ในการเจริญเติบโต ผักตบชวาชอบพวกไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่ปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำ ผักตบชวาอาจหลงเข้ามาในแหล่งน้ำแห่งนี้ โดยบังเอิญ แล้วก็แพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว ด้วยความสามารถพิเศษของผักตบชวา ที่ใบแต่ละใบจะสามารถรับแสงแดดอย่างเต็มที่เพื่อสร้างอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ การที่ต้นลอยอยู่ในน้ำทำให้หมดปัญหาเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงลำต้น รากของผักตบชวามีระบบรากที่แพร่กระจายและดูดแร่ธาตุในน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกติผักตบชวาจะรวมกลุ่มกันอยู่แบบ เป็นแพลอยอยู่บนผิวน้ำ เมื่อมีคลื่นลม กระแสน้ำ ก็สามารถทำให้แพผักตบชวาแยกออกจากกัน ผักตบชวาจะแยกออกเป็นกอย่อยๆ เพิ่มความสะดวกในการขยายพันธุ์ ผักตบชวามีลำต้นที่มั่นคงไม่คว่ำได้ง่ายๆ แม้ว่าจะถูกลมพายุพัด เพราะมีโครงสร้างที่สมดุล มีกาบทำหน้าที่ห่อหุ้มใบช่วยป้องกันอันตรายต่างๆ ทนต่ออากาศหนาวเย็นที่ทำลายใบเหนือน้ำตายหมด แต่พออากาศอบอุ่นขึ้นลำต้นก็สามารถแตกหน่อใหม่ได้ กาบใบที่หุ้มลำต้นก็สามารถป้องกันไม่ให้ลำต้นขาดน้ำหรือแห้งตายได้ เมื่อแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่เกิดแห้งขอด ผักตบชวาก็สามารถปรับตัวด้วยการหยั่งรากลงในโคลนและลดขนาดของลำต้นจนกลายเป็นผักตบชวาแคระเมื่อมีน้ำในแหล่งน้ำ ผักตบชวาก็จะสามารถแพร่พันธุ์ได้อีก แม้ว่าต้นของผักตบชวาจะเสียหายหนักมากจากการถูกตัดเป็นชิ้นๆหรือฉีกขาดผักตบชวาก็ยังสามารถแตกหน่อได้อีก
ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าแหล่งน้ำแห่งมีธาตุอาหารไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก

3.ช้างกินผักตบชวาแล้วตาย

มีประเด็นอยู่ว่าช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน แล้วอีกวันต่อมาช้างป่วยตาย จากข้อมูลที่ได้รับเป็นได้อยู่สองเรื่องคือ หนึ่งช้างมันอาจป่วยตายเอง แล้วบังเอิญมีคนไปเห็นว่ามันไปกินผักตบชวาในแหล่งน้ำก่อนหน้านั้น แล้วตายในวันต่อมา สองเป็นเพราะช้างได้รับอะไรบางที่อยู่ในแหล่งน้ำนั้นจนป่วยตาย แล้วช้างได้รับอะไรในแหล่งน้ำ ก็อาจจะเป็นเพราะช้างกินผักตบชวาเข้าไป หรืออาจเป็นสารปราบศัตรูพืชที่อยู่ในแหล่งน้ำ ถ้าเป็นสารปราบศัตรูพืชที่อยู่ในแหล่งน้ำ ช้างน่าจะมีอาการพิษแบบเรื้อรัง หรือป่วยแบบเรื้อรังจากสะสมสารพิษมากกว่าที่จะตายทันทีหลังจากได้รับพิษภายในวันเดียว เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าช้างได้รับพิษในปริมาณที่มากในครั้งเดียว จึงมีความเป็นไปได้ว่าช้างตายเพราะกินผักตบชวาเข้าไป
ตามปกติผักตบชวาจะขึ้นอยู่ในที่ที่มีอาหารมากๆ และอาหารที่ผักตบชวาชอบก็คือไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ผักตบชวามีความสามารถในการสะสมไนโตรเจน เมื่อช้างกินผักตบชวาเข้าไปมากๆ เพราะที่แน่นอนอยู่แล้วว่าช้างตัวใหญ่กินจุ ทำให้ไนโตรเจนในผักตกชวาที่ช้างกินเข้าไปมีปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดพิษได้ พิษของไนโตรเจนจะทำให้สัตว์ที่กินเข้าไปมีอาการตัวสั่น เดินโซเซ หายใจเร็วและตายเนื่องจากร่างกายขาดออกซิเจน แต่ในข้อมูลที่ได้รับไม่ได้บอกว่าตอนช้างตายนั้นมีอาการอย่างไร แต่ก็มีหลักฐานว่าก่อนตายช้างกินผักตบชวาเข้าไป ทำให้มีเหตุผลเพียงพอที่จะสรุปว่าช้างตายเพราะไนโตรเจนในผักตบชวา

วิธีการแก้ปัญหาจากเหตุการณ์นี้

เริ่มจากกำหนดจุดตรวจวัดคุณน้ำที่ไหลเข้ามาในแหล่งน้ำ คุณภาพของน้ำในแหล่งน้ำ โดยการกำหนดจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำจะทำที่ จุดที่น้ำไหลเข้าในแหล่งน้ำ จุดที่น้ำไหลออกจากชุมชนเข้ามาในแหล่งน้ำ และจุดที่น้ำไหลเข้าชุมชน ด้วยการตรวจสอบตามฤดูต่างๆ ที่มีต่อแหล่งน้ำ เช่นฤดูฝน ทำให้สามารถได้ข้อมูลมาวิเคราะห์ว่าน้ำเสียเกิดจากอะไร
สำหรับผักตบชวา อาจไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ ปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่ พออาหารในน้ำหมดพวกมันก็จะตายไปเอง แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนั้นผักตบชวาตายหมดก็จริง แต่จะทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสีย เพราะในน้ำแทบไม่มีออกซิเจนเหลืออยู่การย่อยสลายผักตบชวาจึงเป็นกระบวนการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจนทำให้น้ำเน่าและส่งกลิ่นเหม็น
การกำจัดผักตบชวาทำได้สองวิธีคือ กำจัดให้สิ้นซาก ทำได้ถ้ามีการแพร่กระจายที่ไม่มาก แหล่งน้ำไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่มากวิธีนี้ก็หมดสิทธิ หรือใช้วิธีควบคุมปริมาณการแพร่กระจายให้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดเมื่อไม่สามารถกำจัดให้หมดได้ วิธีควบควบคุมที่นิยมใช้กันก็คือ
สารเคมีกำจัดวัชพืช วิธีนี้ง่ายรวดเร็วได้ผลดีที่สุด แต่ต้องระวังอาจทำให้เกิดปลาตายหมู่ในแหล่งน้ำ และเป็นพิษกับผู้ใช้
ใช้แรงงาน คน สัตว์ เครื่องมือ เครื่องจักร ดึงขึ้นมาไว้บนบก แล้วค่อยหาวิธีทำลายต่อไป แต่วิธีใช้เวลานานมาก และสิ้นเปลืองแรงงาน น้ำมัน และเครื่องจักร
ประยุกต์วิธีกำจัด ขึ้นอยู่กับระดับสภาพพื้นที่และระดับสมองของหัวหน้าผู้สั่งการ เช่นถ้าพื้นที่เป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่อาจใช้เรือลากผักตบชวาเกินตื้นแล้วปล่อยให้แห้งตาย
สุดท้ายถ้าไม่สามารถแก้ไขได้ก็ใช้วิธีอยู่ด้วยกันดีกว่า ผักตบชวาไม่ได้ดีแต่โทษอย่างเดียวตัวมันมีประโยชน์มากมายถ้ารู้วิธีใช้ เช่นการที่ผักตบชวาสะสมธาตุอาหารไว้มากก็นำขึ้นมากสับทำปุ๋ยหมักใส่ต้นไม้ได้ หรืออาจนำมาแปรรูปเป็นเครื่องจักรสานก็ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละพื้นที่ ซึ่งที่จริงๆแล้วผักตบชวามีความสามารถบำบัดน้ำเสียได้ โดยมันจะดูดธาตุอาหารจากน้ำเก็บไว้ในตัวมันทำให้น้ำไม่เน่าเสีย แต่สุดท้ายจากแก้ไขปัญหาจากเหตุการณ์นี้ควรสร้างจิตสำนึกให้กับชาวบ้านหรือเกษตรกร ควรจะดูแลเรื่องน้ำเสียที่เกิดจากการกระทำของตัวเองให้ดี อย่ามักง่ายด้วยการทิ้งสิ่งสกปรกลงน้ำอย่างเดียว ถึงแม้ว่าช้างตาย เพราะกินผักตบชวาอาจเป็นเรื่องบังเอิญแต่ก็ควรที่จะป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาแก้ทีหลัง

เสถียร 50003259010

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

ลงแบบเสียวๆ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบปลายภาคของ KSWAN ใครก็ได้ช่วยคิดที

Date: Thu, 24 Sep 2009 07:11:23 -0700
From: thaiscience2000@yahoo.com
Subject: ข้อสอบปลายภาค
To: sj-freedom@hotmail.com

ให้แจ้งแก่นักศึกษทั้งกลุ่ม
สอบปลายภาค การติดตามตรวจสอบฯ
ให้นักศึกษาพิจารณาโจทย์และคำตอบโดยรอบครอบ
โจทย์ กรณีแหล่งน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียว กลางทุ่งนา ที่ถูกใช้ร่วมกันในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในหมู่บ้าน อยู่มาช่วงหนึ่งปรากฏมีผักตบขึ้นเต็มแหล่งน้ำนี้ มีช้างมากินผักตบชวาเมื่อวาน วันนี้ช้างป่วยตาย ซึ่งเป็นข่าวทำให้ทราบกันทั้งหมู่บ้าน ถ้านักศึกษาที่เรียนสาขานี้เป็นคนในหมู่บ้านนี้ท่านจะทำอย่างไร ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จงอธิบายประกอบทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง

กำหนดส่งทาง e-mail 5 ตุลาคม 2552 ก่อน 12.ooน
sj-freedom@hotmail.com KSWAN

กลอนก่อนสอบ

ใครคนหนึ่งขอฝากถึงอาจารย์

อาจารย์โปรดเกล้า เมตตา
ศิษย์กราบงามสามครา สิบครั้ง
หวังท่านพิจารณา เกรดใหม่
D และ F โปรดยั้ง หยุดยั้งยอมมือ

เราก็ผู้หนึ่งผู้ รักเรียน
อ่านอ่านแทบเอียน โอษฐ์อ้วก
สิบตลบสิฝึกเขียน จนคล่อง
พอสอบดั่งบ้าใบ้ หน้ามืดตามัว

สุดกลัวตอบผิดแล้ว หรือเรา
ข้อสอบยากเกินเดา สุ่มได้
ไม่รู้แต่ท่านเอา ออกสอบ
แสนยากอยากร้องไห้ โหดมากจริงๆ

อิงเกณฑ์อิงกลุ่มก้อน เป็นไร ไป่ฤา
D และ F สิจี้ใจ เจ็บแท้
A B และ C ไป ไหนหมด
สอบเสร็จต้องกลับแก้ สอบซ้ำสุดซวย
>
>ขวยเขินเกินหยุดยั้ง ยืนยง
>แปลกแปลกข้อสอบงง เรียบร้อย
>ที่อ่านกลับมิตรง ที่ออก
>ที่ออกสิลิ้นห้อย ใกล้ฆ่าตัวตาย
>
>ไหว้ล่ะอาจารย์ผู้ ใจดี
>ก้มกราบสองอีกที อย่าร้าย
>เหอะเหอะอย่าถึงC เลยแม่ นาพ่อ
>ท้ายอาจไทร์เทอมท้าย สุดโง่โดนไทร์
>
>ใจจะวายโปรดจ้องเนตร ศิษย์ดู
>นึกว่าช่วยลูกงู ตกน้ำ
>หากได้(แฮ่ แฮ่)ไก่อู อบอร่อย
>มิได้อาจต้องช้ำ ชอกเนื้ออาจารย์สังเวียน


http://dek-d.com/board/view.php?id=562165

ใกล้สอบแล้วคงไม่แคล้วต้องคิดหนัก
ใจมันมักคิดไปไร้เหตุผล
อ่านตำราหัวหมุนวุ่นซะจน
จิตสับสนใจกังวลจนหงุดหงิด

พักสมองมองตำราน่าปวดหัว
อ่านจนมัวพันพัวกลัวจำผิด
โอ้ชีวิตข้าน้อยด้อยความคิด
วอนมิ่งมิตรมิ่งใจส่งยิ้มให้

ยิ้มสักนิดก่อนคิดทำข้อสอบ
ยิ้มอีกรอบนะเพื่อนอย่าเฉือนไฉ
ยิ้มอีกหน่อยเพื่อนเอยอย่าเหนื่อยใจ
ยิ้มใกล้ใกล้เพื่อนรักนักเรียนนอก (นอกเมือง)

สอบ Midterm ครานี้มีแต่ซ้ำ
เหตุเพราะคำอาจารย์วิจารณ์บอก
เป่าประกาศว่าฉันมันนักลอก
ใจซ้ำซอกเหลือเกิน เฮ้อ... เขินจัง

http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem121301.html

ในวันนี้หรือ วันไหน ที่มีสอบ
แม้ ไม่ชอบ น่าเบื่อ แสนปวดหัว
ขอให้คิด ไว้ว่า เป็นเรื่องตัว
จะดีชั่ว อยู่ที่สอบ ใช่การเรียน

ในวันนี้หากเพื่อนที่มีสอบ
ขอให้ชอบ ตั้งตนอ่านหนังสือ
ถึงแม้อ่านน้อยนิดค่อยฝึกปรือ
ดีถือปากกาไม่อ่านเลย

ขอเตือนจิต เพื่อนๆ ในห้องสอบ
ให้ตัดออก เรื่องคิดที่นึกถึง
หากไม่ใช่ เรื่องเรียน ห้ามคำนึง
อย่าหลงตรึง ในสิ่ง เสียคะแนน

หากแม้เพื่อน สอบแล้ว ผลไม่ผ่าน
จงอย่าพร่าน เดินวุ่น ให้หุนหัน
จงเรียก บังคับให้ สติ กลับมาพลัน
กลับไปอ่าน กันมาใหม่ พร้อมทบทวน

หากแม้ ถ้า สอบผ่าน อย่าดีใจ
ให้รู้ไว้ มันต้องมี สักเรื่องที่อยากกว่า
ไม่มีเรื่อง ไหนไหน ที่ง่าย ตลอดมา
เรานั้นหนา ต้องรู้ตัว ทันเหตุการณ์

สุดท้ายนี้ ขอให้เพื่อน ทุกคน ที่พานพบ
อย่าหลีกหลบ ละลิ้งหนีปัญหา
สอบตก สอบใหม่ ได้ทุกเวลา
คิดไว้ว่า สอบผ่านตกเป็น ตลกให้เราชม

สอบผ่านสู้ๆ สอบตกสู้ใหม่


http://poem.deedeejang.com/category/20/8924-8924.html


เกรดAนั้นหายาก
ต้องลำบากจดโพยไป
นั่งลอกบานตะไท
ใช้ทั้งหมึกเปลืองปากกา
ต้องเก็บวางให้ไว
ซ่อนเอาไว้ที่ลับตา
เก็บไม่มิดFลอยมา
โอ้เธอจ๋าจำจงดี
กลอนต่อมา เป็นเพลงร.ร.เอดินเบิร์ก~
หาต้อนแบบได้จาก หัวขโมยแห่งบารามอส ภาคดาบแห่งกษัตริย์ นะฮร๊า
เพื่อคะแนนข้าจะขอห้าวหาญ
มุ่งเผาผลาญสมการตามใจหวัง
โพยคือทองลอกเป็นรอง2กำลัง
แสดงพลังลอกข้อสอบทุกวิชา
เพื่อคะแนนข้าจะขอองอาจ
มุ่งพิฆาตตรีโกนฯที่โหมบ่า
ขอปกปิดแผ่นคกตอบที่ลอกมา
สำนึกค่าโพยชั้นเยี่ยมที่ตนมี
เพื่อคะแนนข้าจะขอเปรื่องปราชญ์
ไม่ปล่อยให้โอกาสหายห่างหนี
เพื่อคะแนนข้านั้นขอยอมพลี
ทิ้งศักดิ์ศรีแอบลอกข้อสอบกัน
เพื่อคะแนนข้าจะขอสละ
อุสาหะด้วยแรงRandomมั่น
หวังจะนึกคำตอบไดโดยพลัน
ในหัวดันมีแต่ฝุ่นขุ่นหัวใจ
เรียงกันมาเลยนะ ท่อนแรก ป้อมอัศวิน ท่อน2 แผ่นดินประชาชน ทอ่น3ปราการปราชญ์ ท่อนสุดท้ายปราสาทขุนนาง~
กลอนต่อมา...
เบื่อคณิต เบื่ออังกฤษ เบื่อชีวะ
เบื่อพละ เบื่อสังคม อารมณ์เสีย
เบื่อคณิต เบื่ออังกฤษ คิดแล้วเพลีย
เบื่อยังงี้ เลยตกหมด6วิชา
ต่อมา เพลงปาเจรา (ภาคเปลี่ยนซะเละ 555+)
>>>ปาเจราวีดีโอโหตุ โทรทัศน์สรา ตำราบ่สน
>> ข้อขอเคารพน้องสักกา แด่โทรทัศนาจาร์ย และวีดีโอโป๊ศึกษา
>>ทั้งวิทยุผู้ประกาศวิชา อบรมจริยา แก่ข้าใจการปัจจุบัน
>>ข้าฯขอเคารพเทปทุกๆวัน 3ม้วน1วัน 1วันเรียน3วิชา
>>ชอเดชเครื่องถ่ายเอกสารมา อีกวิทยุพา ปัญญาให้เกินแตกฉาน
>>อุส่าห์มานั่งเรียนทุกๆวัน เรียนไปก็ปวดกบาล ฉะนั้นอย่าได้เรียนมันเลย (กราบ)
>>>ปัญญาต๊อกแต๊ก อิโหลโต๋เต๋ สอบไม่OK เลยเรียน8ปี
ต่อมา (คำไม่สุภาพเยอะมากๆ)- -"
นักเรียนดีเพราะครูด่า
ครูตายห่าเพราะด่านักเรียน
เพราะฉะนั้นเรามาร.ร.ให้ครูด่า
ครูจะได้ตายห่าทั้งร.ร.

ขอขอบคุณเจ้าของบทกลอนทุกท่านที่คิดได้อย่างสร้างสรรค์มากเลย ขอขอบคุณ KSWAN

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

กลอนขำๆ

ถ้าเปรียบรักเหมือนกับฟัน ถ้ารัก คือ...ฟัน รักคงมั่น คือ...ฟันแท้ รักร่อแร่ คือ...ฟันโยก รักโสโครก คือ...ฟันดำ รักถลำ คือ...ฟันเหยิน รักหมางเมิน คือ...ฟันห่าง รักร้าง คือ...ฟันหลอ รักหงิกงอ คือ...ฟันกุด รักบริสุทธิ์ คือ...ฟันขาว รักชั่วคราว คือ...ฟันปลอม รักอ่อนซ้อม คือ...ฟันร่วง รักสีม่วง คือ...ฟันเก รักจำเจ คือ...ฟันซ้อน รักสลอน คือ...ฟันแทรก รักแรก คือ...ฟันน้ำนม รักระบม คือ...ฟันผุ รักขิกขุ คือ...ฟันกระต่าย รักสลาย คือ...ฟันหลุด รักชำรุด คือ...ฟันสึก รักเจ็บลึก คือ...ฟันคุด รักตุ๊ด คือ...ฟันหนุ่ม รักทั้งกลุ่ม คือ...ฟันหมด รักสลด คือ...ฟันพลาด รักต่างชาติ คือ...ฟันฝรั่ง รักปิดบัง คือ...ฟันชู้ รักอุดอู้ คือ...ฟันช้า รักกะฮา คือ...ฟันเล่น รักไม่เป็น คือ...ฟันดะ รักเธอเสมอคือ..ให้เธอ ฟัน


คิดถึงเธอวันละ 100 ครั้ง
อยากส่งข้อความหาวันละ 100 หน
แต่ถ้าทำอย่างนั้นฉันคงจน
วันละ 100 หน หนละ 3 บาท...คงขาดใจ



อยากเป็นตุ๊กตาหมีให้เธอกอด
อยากเป็นทามาก๊อตให้เธอเลี้ยง
อยากเป็นทูตสวรรค์ข้างๆเตียง
อยากเป็นนกเอี้ยงคอยเลี้ยงเธอ


ใช่เป็นเพียงบทกวี ที่อ่อนไหว
แต่ส่วนหนึ่ง คือเสียงใจ ที่ขับขาน
ใช่เป็นเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน
แต่ในนั้นมีตดฉัน ล่องลอยไป


อันตัวเรานี้หนอก็ชอบจิ้ม
อยากจะลิ้มชิมรสความหรรษา
คิดดังนั้นจะช้าไปเสียเวลา
ใช้มือขวาจิ้มคีย์บอร์ดสุดยอดมัน


มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท
อย่าให้ขาดหายไปสักสลึง
มีน้อยไปเป็นกรรมควรคำนึง
สามสลึงต้องอยู่ที่ศรีธัญญา



ม.เมียนั้นหายาก
ต้องลำบากไปจีบมา
ฝ่าตะพดของพ่อตา
อีกคำด่าของแม่ยาย
สินสอดและทองหมั้น
เงินทั้งนั้นที่เสียไป
ห้าทุ่มรีบดับไฟ
คืนกำไรให้ตัวเอง

อกเธอหัก รักได้ เพราะใจรัก
ขาเธอหัก รักได้ เพราะไม่สน
แขนเธอหัก รักได้ ไม่กังวล

สุดจะทน ดั้งเธอหัก รักไม่ลง



เมื่อมีคนตด กินคดกินขี้
ทุกอย่างช่วยพลี กินขี้แน่นอน
นอย หนอยหนอยนอยน้อย กินแห้วไปเลย

5ห้าห้าห้า...งงงงงงจ้งเลย


ในน้ำยังคงมีตัวปลา
ในนภายังคงมีดาวดวงสวย
ในตลาดมีพ่อค้าขายเต้าฮวย
ในใจคนสวยคนนี้ก็มีเธออยู่ร่ำไป

เปล่านะ... เปล่าทอดทิ้ง แต่ความจริงเจอคนใหม่
เปล่านะ...เปล่าเปลี่ยนจัย แค่มีจัยหั้ยอีกคน
เปล่านะ...เปล่าเลิกลา แค่เพียงว่ามันสับสน
เปล่านะ...เปล่ากังวล แค่ร้อนรนจนร้อนจัย
เปล่านะ...เปล่าเบี่อเทอ แค่อยากเจอน้อยลงปัย
เปล่านะ..เปล่าเป็นรัย แค่จิตจัยมัยเหมือนเดิม
เปล่านะ...เปล่าจริงจริง แค่บางสิ่งมันจะเริ่ม

เปล่านะ...เปล่าซ้ำเติมแค่เพียงเริ่มจะเปลี่ยนจัย
สามีคือเป้าหมาย
ผู้ชายคือทางผ่าน
แพศยาคือนิพพาน
ขึ้นคานคือตายทั้งเป็น



ตดดีๆ มีศิลป์ กลิ่นไม่เหม็น
ตดไม่เป็น ดังป้าด สาดเป็นฝอย
ตดวิบาก กากกระเซ็น เหม็นทั่วซอย
ตดอร่อย ตดเป็นเพลง บรรเลงเพลิน

ตดของเรา รุ่นเก่า เป็นเสียงเบส
มีบางวัน เหมือนทรัมเปต ที่แผดเสียง
ส่วนคืนนี้ ที่รัก ต้องคอเอียง
เพราะตกเตียง ด้วยตดเรา เป่ากระเด็น

พูดเรื่องตด เราคอหด ตดเกือบหาย
ตดไม่ดี ไม่ยอมถ่าย ไม่เป็นผล
อยากจะตด ต้องตดให้ ได้ยินยล
ว่าตดเรา ออกจากก้น พ่นสวยงาม

ตดให้ดัง จังหวะ ชะชะช่า
ตดดังกว่า ต้องแรง แบบแทงโก้
ตดแนวใหม่ ใช้แร็บ แต็บแต็บโชว์
ตดแบบเก่า แนวโก๋ แบบโคชรา

ตดของผม ดมได้ ไม่มีเสียง
ไร้สำเนียง รบกวน ชวนสยอง
แค่มีกลิ่น เล็กน้อย ให้คอยมอง
เราช่ำชอง ตดขมิบ กว่าสิบปี




ตดในตุ่ม ทุ้มเสียง เคียงเสนาะ
ตดในตู้ คงเพราะ แต่เก็บเสียง
ตดในลิฟท์ ขมิบแผ่ว แว่วสำเนียง
ตดแล้วเถียง ว่าเราป่าว คงเข้าที

ตดแล้วปล่อย ลมหวน ให้ชวนหาว
ตดแล้วนั่ง ดูดาว ยามคราวเหงา
ตดแล้วนั่ง อุดตูด ปู้ดเบาเบา
ตดแล้วเรา นั่งเศร้า เหงาคนเดียว


กุหลาบแดง คือ รักปักอก
กุหลาบตกคือรักที่สลาย
กุหลาบตายคือรักที่เดียวดาย

กุหลาบสุดท้ายคือรักที่ถูกลืม


ขอขอบคุณ เจ้าของกลอน http://www.zheza.com/index.php?a=blog&b=entry&uid=569688

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

บันทึก KSWAN 4 ขี่รถเล่น

บันทึก KSWAN 4 ขี่รถเล่น

หลังหัดขี่รถครั้งแรกจนเป็นแล้ว ก็ยังไม่ได้ขี่อีกเลยไม่ค่อยมีเวลา แต่วันนี้กลับจากมหาลัยเร็ว ห้าโมงครึ่งเอง ถามแม่ว่ารถมีน้ำมันรึป่าวแม่บอกว่ามี Ok เลย ติดเครื่องออกตัวมุ่งหน้าไปลานจอดรถหน้าเมรุเลย ขี่วนได้รอบเดียวก็รู้สึกเบื่อ เลยคิดหาอะไรสนุกๆทำ วันนี้เป็นวันพุธ มีตลาดนัดที่วัดกลางอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลได้ ไปเดินเล่นที่ตลาดดีกว่า ว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปเลย ตอนนี้ขี่รถเป็นแล้ว แต่ยังมีบ้างที่เผลอลืมตัวนึกว่าตัวเองขี่จักรยานอยู่ บางทีลืมไปว่าบนถนนไม่ได้มีเราคนเดียว เวลาเลี้ยวหรือเบรกต้องดูรถคันอื่นด้วย แต่ก็ไม่เป็นไรเรื่องแบบนี้ขี่บ่อยๆเดี๋ยวก็ชิน
ขี่ไปถึงตลาดนัดวัดกลางว่าจะเดินดูอะไรซักหน่อย พายุดันมา เมฆดำลอยมาเต็มเลยลมแรงมาก ต้องรีบกลับแล้ว แต่พอเลี้ยวกลับขี่มาได้ประมาณ 100 เมตร จู่ๆเครื่องก็ดับ รู้เลยทันทีว่ามันหมายถึงอะไร จอดข้างทางเปิดฝาถังน้ำมันดู ใช่เลยน้ำมันหมด ไหนแม่บอกว่ามีน้ำมัน แถมเราก็ไม่มีตังค์ซักบาทเดียว มือถือก็ไม่ได้เอามา เหลืออีกเกือบ 2 กิโลได้กว่าจะถึงบ้าน ฝนไล่หลังมาแล้วทำไงดี จูง!!! เป็นวิธีเดียวที่ใช้ได้ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ทั้งวิ่งทั้งเดินจูงมาได้ไกลเหมือนกัน เหลืออีกประมาณ 500 เมตร จะถึงบ้านแล้ว จูงผ่านหมาคู่อริสองสามตัวเมื่อก่อน มันชอบประลองความเร็วกับจักรยานของเรา แต่วันนี้มันยอมเปิดทางให้แต่โดยดี สงสัยมันขี้เกียจวิ่งไล่ ฝนตกหนักมากขึ้นมองไม่เห็นทางข้างแล้ว เลยตัดสินใจหลบเข้าร้านค้าข้างทางก่อนดีกว่า เจ้าของร้านก็ใจดีให้เราเข้าไปหลบฝนในบ้านเอาเก้าอี้มาให้นั่ง เราบอกเจ้าของร้านว่า ป๊อปของเราเครื่องมันน๊อกไปแล้ว อย่าไปบอกเค้าเชียวนะ ว่าน้ำมันหมด อายเค้า รออยู่ประมาณ 20 นาที ฝนก็หยุดตก เลยบอกเจ้าของร้านว่า ไปแล้วนะขอบคุณที่ให้หลบฝน แล้วก็จูงต่อไป เจอร้านค้าที่รู้จักกับเจ้าของร้าน เลยขอยืมน้ำมัน มา หนึ่งขวด ติดตังค์ไว้ก่อนเดี๋ยวมาจ่าย เจ้าของร้านก็ใจดี บอกเอาเลยตามสบาย เติมน้ำมันเสร็จก็ลองติดเครื่องดู วันนี้โชคดีที่มันยอมติดง่ายๆ แต่ต้องเร่งค้างไว้นิดหน่อย ปกติถ้าปล่อยให้น้ำมันหมดมันจะติดยาก ต้องจูง โช๊ค บิดคันเร่ง กระทืบอยู่หลายครั้ง แต่วันนี้โชคดีเครื่องมันติดง่ายขี่มาถึงบ้าน ก็หกโมงครึ่งพอดี เปียกไปหมดเลย แต่ก็สนุกดีเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งนั้น บทเรียนของวันนี้คือ เวลาออกจากบ้านอย่าลืมพกเงินแล้วก็เอามือถือไปด้วย แล้วก็ก่อนไปไหนหัดดูน้ำมันเสียก่อนว่ามีพอหรือเปล่า ไม่ใช่เล่นขี่อย่างเดียว น้ำมันหมดแล้วจะอายเค้า.

บันทึก KSWAN 3 หัดขี่รถ ( ป๊อปหัวจรวด ) ครั้งแรก

บันทึก KSWAN 3 หัดขี่รถ ( ป๊อปหัวจรวด ) ครั้งแรก

วันนี้เป็นวันแรกที่คิดว่าจะลองขี่มอ’ไซค์ แต่ที่บ้านมีแต่รถป๊อปหัวจรวด ไม่เป็นไรมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เคยคิดอยู่นานแล้วว่าน่าจะขี่มันได้ง่ายๆ อย่าหัวเราะ หรือสมเพช ที่อายุขนาดนี้แล้วเพิ่งจะมาหัดขี่ ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็ที่บ้าน กฎระเบียบ ข้อห้ามมันเยอะน่ะ เอาเหอะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนั้น วันนี้ได้โอกาสแล้วเอาเลย ถามแม่ก่อนว่ารถมีน้ำมันรึป่าว แม่บอกว่ามีอยู่ครึ่งถัง Ok เลย! ครบองค์ประกอบ ลงสนามเลย ขั้นแรกติดเครื่อง ปัญหาแรกมาเยือนทันที เครื่องไม่ติด ยังไม่ได้ไปไหนเลยเวรกรรม ปกติเรารับหน้าที่ติดเครื่องให้แม่อยู่ทุกวัน แต่วันนี้ไอ้รถป๊อปมันทรยศซะแล้ว แม่เดินมาดู แล้วก็กระทืบทีเดียว! ก็ติดแล้ว ดูซิ สงสัยมันไม่อยากให้เราขี่มันมั้ง เครื่องติดแล้วเริ่มบทเรียนแรกออกตัว ออกตัวไปได้นิดเดียวเจอเด็กเล็กวิ่งตัดหน้าระยะกระชั้นชิด ดีได้ทดสอบเบรกเลย ไม่มีปัญหาเบรกนิ่มนวล ไม่มีอาการพิรุธว่าขี่รถครั้งแรก ถามว่าทำไม ก่อนหน้านี้ไม่หัดขี่รถ ตอบง่ายมาก ก็เราชอบขี่จักรยานมากกว่า จักรยานของเราเป็นแบบเสือภูเขา ของ LA ทั้งคันทำด้วยอะโลมิเนียม เบา ไม่เป็นสนิม มีชุดเกียร์สำหรับขี่ขึ้นเขา แล้วก็เกียร์สำหรับขี่ทางตรง เรื่องความเร็วไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว แถมยังเท่กว่าขี่รถป๊อปอีก เข้าใจแล้วหรือยัง
เด็กหลบไปแล้ว ทีนี้ก็ยิงประตูออกถนนเลย เป้าหมายของวันนี้มุ่งหน้าไปหาที่ฝึกขี่ที่เหมาะสม เราเลือกไว้แล้ว เป็นที่ๆเงียบ ไม่มีคนรบกวน กว้างพอสำหรับเร็วความเร็วเต็มที่ได้ ที่นั่นก็คือ ลานจอดรถหน้าเมรุ เป็นไงสถานที่ใช่ได้ม่ะ บรรยากาศ Ok เลย จริงๆแล้วไม่ต้องเรียกว่าหัดขี่รถก็ได้เพราะแค่นั่งคร่อมบิดคันเร่ง ก็วิ่งได้แล้ว ไม่เห็นยากตรงไหน แถมป๊อปที่เราขี่สายคันเร่งมันหย่อน ถ้าเบาเครื่องมากไปหรือปล่อยมือจากคันเร่งเครื่องมันจะค่อยๆดับไปเอง ต้องเลี้ยงคันเร่งไว้ตลอด แต่ถ้าเร่งมากไปมันจะพุ่งไปเลย เหมือนคนขี่รถไม่เป็นเค้าขี่กัน แต่มันก็ขี่ไม่เป็นจริงๆนี่หว่า ไม่ต้องห่วงพอเราได้ขี่ ก็เรียนรู้วิธีเลี้ยงคันเร่งแล้ว ไม่มีปัญหาเครื่องดับหรือออกตัวแบบพุ่ง แล้วทำไมไม่เอาไปซ่อม ก็ไม่มีเงินน่ะ เพิ่มซื้อเครื่องปริ๊นมาใหม่ ตังค์หมดเลย
ขี่อยู่หน้าเมรุจนชินมือแล้ว ก็ออกถนนขี่ไปบ้านญาติแล้วก็เลี้ยวกับ เจอญาติทักว่าจะไปไหน เราก็ตอบว่า เอารถมาลอง คันเร่งมันไม่ค่อยดี เรื่องอะไรจะไปบอกเค้าว่า มาหัดขี่รถ อายเค้าตาย แต่ขี่รถนี่มันก็ง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย กระจอกมาก 5 นาทีก็เป็นแล้ว ง่ายกว่าจักรยานอีก แต่ยังไม่ถึงขั้นรู้ทางรถ สุดท้ายยังไงเราก็ว่าจักรยานเสือภูเขาของเรา มันก็ดูเท่กว่าอยู่ดี.



KSWAN

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

Kira & L

บทความจาก ต่วย’ตูน พอกเก็ตแมกาซีน ปีที่ 38 เล่นที่ 8

10 วีธีกำจัด “เมียหลวง” แบบแนบเนียน โดย “โปรดเถิดดวงใจ”

หนึ่งในบทสนทนา ในวงของบรรดาชาย ทั้งหนุ่มทั้งแก่ ก็คือ การนินทาเมีย หลายคนแอบนิยามลับหลังว่า “แก่ง่าย ตายยาก”

ต่อไปนี้เป็น 10 สุดยอดวิธี ฆ่าเมียหลวง แบบแนบเนียนที่สุด เรามาดูกันว่า ที่ว่าแนบเนียนนั้น แนบเนียนอย่างไร?

วิธีที่ 1 เมียอยากไปเที่ยวไหน ขอให้พาไปโน่นไปนี่ ให้รีบตามใจเพราะว่าต้องมีซักที่แหละที่เดินลื่น เดินล้มหัวฟาดพื้นตายได้

วิธีที่ 2 เงินเดือนออกมาเท่าไรถวายไปให้หมด เงินในกระเป๋ามีเท่าไรให้หมด เพราะว่า ธนบัตรนั้นเป็นที่สะสมเชื้อโรคสารพัด เดี๋ยวเมียก็เป็นโรคตายไปเอง

วิธีที่ 3 อยากรับประทานกุ้ง หอย ปู ปลา หรืออะไร ซื้อให้กินไม่อั้น จนคอเรสเตอรอลสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือด รับรองไม่เกิน 5 ปีตาย

วิธีที่ 4 ปลูกบ้านหลังใหญ่ บนพื้นที่กว้างๆให้เมียอยู่ กว้างๆยิ่งดี เวลาจะเดินจากห้องนั้นไปห้องนี้ทีจะได้เหนื่อย เผลอๆอาจหอบตายระหว่างทางก็เป็นไปได้

วิธีที่ 5 ถ้าเมียไปชอบรถยนต์คันโตๆ ยิ่งแพงๆ เครื่องแรงๆ ก็ยิ่งดี เวลาเมียขับอาจจะใช้ความเร็วสูงเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะได้ตายเร็ว

วิธีที่ 6 วันเกิดปีนี้ ซื้อเครื่องเพชรชุดใหญ่ให้ “ภรรเมีย” เอาแบบน้ำดีขาวจั๊วะ ใส่บ่อยๆแสงเพชรมันสะท้อนเข้าตามากๆเข้า เดี๋ยวตาก็จะบอดเอง
วิธีที่ 7 งานในบ้าน เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ต้องแย่งมาทำเองให้หมด อย่าเปิดโอกาสให้เมียทำ เพราะเท่ากับได้ออกกำลังกายทุกวัน สม่ำเสมอ ไม่นานเมียก็จะแขนขาลีบ กล้ามเนื้อลีบตายไปเอง

วิธีที่ 8 พยายามพาเมียไปหาหมอบ่อยๆแม้ยังไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยอะไรมาก ตรวจเช็คบ่อยๆก็เจอโรคเองแหละ เดี๋ยวก็ตายแล้ว

วิธีที่ 9 ตื่นเช้าและก่อนนอน กราบเมียหลวงเช้าเย็นทุกวันๆ เพราะจะได้อายุสั้นตายสมใจ

วิธีที่ 10 บอกรักเมียให้มากๆบอกว่ารักทุกวัน เป็นไปตามพุทธศาสนาสุภาษิตที่ว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” พอเมียทุกข์มากๆก็จะตรอมใจตายไปเอง...

คำเตือน:

1.โปรดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายตามวิธีที่ 1-6 ด้วยเพราะอาจจะหมดเนื้อหมดตัวเสียก่อนเมียตาย!!

2.โปรดอย่าใช้หลายวิธีในเวลาเดียวกัน ทดลองวิธีที่เหมาะสมกับวัยและระดับความดุของเมียหลวง มิฉะนั้นแล้วอาจจะตายก่อน!!

3.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะเป็นที่น่าสงสัยมากว่า...บรรดาเมียหลวงอาจเป็นคนคิด 10 วิธีเหล่านี้รึเปล่า???

ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือต่วย’ตูน (โปรดเถิดดวงใจ)

KSWAN

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฝนเหลือง

ฝนเหลือง
ทั่วโลกประจักษ์ซึ้งถึงพิษภัยของ "ฝนเหลือง" (Agent Orange) เป็นอย่างดีในยุคสงครามเวียดนามระหว่างปี 2504-2518 เพราะเป็นสารกำจัดวัชพืชชนิดรุนแรงที่ทหารอเมริกันใช้ฉีดพ่นเหนือผืนป่าอันกว้างใหญ่ของเวียดนามใต้ เพื่อทำลายป่าที่หลบซ่อนของทหารเวียดกง โดยมีการประมาณกันว่า อเมริกันใช้ฝนเหลืองร้อยละ 60 หรือ 42 ล้านลิตร จากจำนวนสารเคมี 72 ล้านลิตรที่ใช้ไปในสงครามครั้งนั้น แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ แต่ผลกระทบของฝนเหลืองต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของคนในเวียดนามใต้ ยังคงปรากฎให้เห็นชัดเจน และนี่เองกระมังที่ทำให้กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์ พยายามกลบเกลื่อนเรื่องสารเคมีที่ขุดพบในสนามบินบ่อฝ้ายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2542 ว่าไม่ใช่ "ฝนเหลือง" ทั้ง ๆ ยังไม่มีการตรวจหาไดออกซินซึ่งเป็นสารประกอบสำคัญของฝนเหลือง เพราะประเทศไทยไม่มีเครื่องมือที่ตรวจสอบสารนี้ได้ และมีผู้ที่เคยทำงานให้กับทหารอเมริกันในช่วงปี 2506-2507 ออกมายืนยันว่า ถังสารเคมีที่ขุดพบเป็นฝนเหลืองที่สหรัฐอเมริกาทิ้งไว้หลังจากเข้ามาทดลองในประเทศไทย ซึ่งสหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ปฏิกิริยาของกรมควบคุมมลพิษในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว ฝนเหลืองยังน่ากลัวน้อยกว่าวิธีการทำงานแบบไม่โปร่งใสของหน่วยงานแห่งนี้เสียอีก
ฝนเหลืองคืออะไร
ฝนเหลืองมาจากชื่อเล่นภาษาอังกฤษว่า Agent Orange เป็นสารผสมจากสารเคมี 2 ตัวคือ 2,4-D และ 2,4,5-T ซึ่งเป็นสารกำจัดวัชพืชในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide แม้สารเคมีในกลุ่มนี้จะยังมีอีกหลายตัวด้วยกัน แต่ตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุดตัวหนึ่ง คือ 2,4,5-T นี่เอง สารในกลุ่ม chlorophenoxy herbicide เป็นสารที่ดูดซึมผ่านผิวหนังได้ และจะทำให้เกิดอาการทางประสาทตามมา ทำให้เกิดผื่นคัน ทำลายเนื้อเยื่อตับและไต และยังเป็นสารก่อมะเร็ง (carsinogen) เคยมีรายงานการทดลองในสัตว์พบว่า สารตัวนี้ทำให้เกิดมะเร็งและยังมีผลกระทบไปถึงลูกในรุ่นต่อไป ทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด แม้ได้รับในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำ สำหรับสาร 2,4-D มีชื่อเต็มว่า 2,4-dichlorophenoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลาง (Solid Class II, Moderately Hazardous๗ จัดเป็นสารกำจัดวัชพืชและสารที่ทำให้ใบไม้ร่วง มีฤทธิ์ฉับพลันต่อคนคือ ถ้าหากสูดดมเข้าไปจะทำให้ทางเดินหายใจ คือ คอ จมูก และปอด ปวดแสบปวดร้อน ถ้าสัมผัสที่ตาจะทำให้ตาแดง แสบตา ถูกผิวหนังจะทำให้ผิวด่าง และหากสัมผัสมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการชักกระตุกของประสาทรอบนอก
ส่วนสาร 2,4,5-trichloronoxy acetic acid องค์การอนามัยโลกจัดให้อยู่ในกลุ่มของสารอันตรายปานกลางและมีฤทธิ์ต่อพืชเช่นเดียวกับ 2,4-D จากการทดลองในหนูทดลองพบว่า สาร 2,4,5-T มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์คือทำให้ฮอร์โมน testosterone ลดลงและทำให้ผู้ชายเป็นหมันได้ ประเด็นสำคัญคือ ทั้งในสาร 2,4-D และ 2,4,5-T มีสารประกอบสำคัญที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกคือ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzo-p-dioxin (TCDD) หรือที่รู้จักกันในชื่อ dioxin ลำพังสาร 2,4-D และ 2,4,5-T เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกขับออกในไม่ช้าและย่อยสลายในไม่นาน แต่ตัวที่อันตรายในที่สุดในฝนเหลืองคือ ไดออกซิน (dioxin) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมี non-biodegradable คือมีช่วงอายุนานหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ และ dioxin นี่เองที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและชีวิตของคนเวียดนามใต้อย่างมาก

พิษฝนเหลืองในเวียดนามใต้
ดังกล่าวแล้วว่า สหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 42 ล้านลิตร ภายใต้แผนปฏิบัติการ "Operation Ranch Hand" ในสงครามเวียดนาม และจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการกันว่า มีสาร "ไดออกซิน" ทั้งหมดประมาณ 170 กิโลกรัมปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงคราม (สาร 2,4,5-T และ 2,4-D ในส่วนผสมของฝนเหลืองจะมีออกซินอยู่ประมาณ 3.83 กรัม/ลูกบาศก์เมตร) ผลกระทบจากไดออกซินหลังสงครามต่อระบบนิเวศ สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนยังปรากฎชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม
ธนาคารโลกเคยจัดทำรายงานเกี่ยวกับกรณีเวียดนามและได้ประมาณขอบเขตพื้นที่และป่า ที่ได้รับความเสียหายจากฝนเหลืองว่า มีประมาณกว้างประมาณ 625,000 ไร่ ถึง 12,500,000 ไร่ โดยรายงานของธนาคารโลกระบุชัดเจนว่า การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ ความย่อยยับของความหลากหลายทางชีวภาพและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เกษตรกรรมเป็นผลมาจากปฏิบัติการฝนเหลืองของสหรัฐฯ และด้วยเหตุที่สารไดออกซินจัดอยู่ในกลุ่มสารเคมีที่ไม่ย่อยสลายหรือย่อยสลายยากในธรรมชาติ สารเคมีกลุ่มนี้เมื่อปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วจะสามารถเข้าไปสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหารได้ และนี่เป็นสาเหตุสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้คนเวียดนามใต้ที่รับประทานอาหารซึ่งมีไดออกซินปนเปื้อนอยู่มีสารพิษตัวนี้สะสมอยู่ในร่างกาย และจากการทดลองจากตัวอย่างอาหารและสัตว์ป่าจากตลาดต่าง ๆ ทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างปี 2528-2530 ได้ผลยืนยันว่ามีสารไดออกซินสะสมในปริมาณสูง นักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติเคยทำการศึกษาทางระบาดวิทยาหลายครั้งด้วยกันเพื่อพิสูจน์ว่า การสัมผัสฝนเหลืองมีความเชื่อมโยงสำคัญกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคน เช่น ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด เช่น soft tissue sarcoma และ chonocarcinoma โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ได้รับฝนเหลืองในช่วงสงคราม รวมทั้งทหารผ่านศึกจากเวียดนามเหนือที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับฝนเหลืองหรือในครอบครัวของทหารผ่านศึกมีอัตราความผิดปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้แท้งลูก ทารกตายในท้อง ทารกพิการแต่กำเนิด เป็นต้น สูงกว่าประชาชนในพื้นที่อื่น ผลพวงของฝนเหลืองในยุคสงครามยังตกไปถึงน้ำนมในมารดาที่ตั้งครรภ์ด้วย จากการศึกษาตัวอย่างน้ำนมมารดาที่รวบรวมมาจากสตรีที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ของเวียดนามพบว่า แม้ระดับของสารไดออกซินที่สะสมในน้ำนมมารดาลดลงไปจากระดับ 1450 พีพีที (parts per trilion) ในช่วงทศวรรษ 1970 เป็น 10-20 พีพีทีในปี 1994 (พ.ศ. 2537) แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่ตรวจพบในน้ำนมมารดาของสตรีเวียดนามที่อยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งไม่ได้รับฝนเหลือง และสูงกว่าน้ำนมมารดาของสตรีในประเทศอุตสาหกรรมต่าง ๆ ประมาณ 3-8 เท่า มีการศึกษาอีกชุดหนึ่งที่ชี้ว่า ตัวอย่างเลือดทั้งหมดที่เก็บจากเวียดนามใต้นั้นมีระดับไดออกซินสูงกว่าตัวอย่างเลือดที่เก็บจากคนในเวียดนามเหนือ การศึกษาชุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างระดับไดออกซินเจนในเลือดของผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาเป็นเวลานานกับปริมาณของฝนเหลืองที่มีการฉีดพ่นออกไปในช่วงสงคราม องค์การอนามัยโลกจัดประเภทของสารไดออกซินไว้ในกลุ่มสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ส่วนทางด้านสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency-EPA) นั้น ระบุภายหลังจากที่มีการประเมินถึงพิษของสารไดออกซินครั้งล่าสุดแล้วว่า ไดออกซินมีอันตรายร้ายแรงกว่าดีดีทีถึง 200,000 เท่า ดังนั้นจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ฝนเหลืองในสมัยสงครามอินโดจีน มีผลกระทบร้ายแรงต่อทหารเวียดนามและทหารอเมริกันที่ได้รับสารตัวนี้เข้าไป
พิษฝนเหลืองที่บ่อฝ้ายไม่ร้ายเท่าพิษของหน่วยงานรัฐ
"จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบ่อฝ้าย ทำให้รู้ว่าสารเคมีดังกล่าวทหารอเมริกันนำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม โดยนำบรรทุกเครื่องบินแล้วไปโปรยในป่าที่กองกำลังเวียดกงหลบซ่อนอยู่ เมื่อใช้เหลือก็นำมาฝังกลบไว้กลางสนามบินบ่อฝ้าย" นาวาโทประเสริฐ น้ำฟ้า ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกการบินพลเรือนหัวหิน ออกมาให้สัมภาษณ์ หลังจากถังบรรจุสารเคมีที่ฝังอยู่ใต้ดินในระดับความลึกประมาณ 1.5 เมตรถูกรถแบ็กโฮขุดกระทบ จนเกิดการรั่วไหลของสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ที่ผ่านมา ผลของการขุดค้นถังบรรจุสารเคมีในเวลาต่อมาได้พบภาชนะเหล็กสภาพผุกร่อนขนาด 200 ลิตร ซึ่งไม่มีสารเคมีหลงเหลืออยู่อีก 1 ถัง และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 5 ถัง ขนาดบรรจุ 15 ลิตร มีข้อความและหมายเลขกำกับว่า "Delaware Barrel PAT NO 2842282, Tri-sure, American lange, NY" คำว่า Delaware ซึ่งเป็นชื่อเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกานี่เอง ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่เบื้องต้นว่า ถังบรรจุสารเคมีดังกล่าวน่าจะเป็นของสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีคนไทยหลายคนทยอยออกมาให้ข้อมูลพร้อมรูปถ่ายว่าสหรัฐฯ เคยเข้ามาทดลองสารเคมีที่เรียกว่าฝนเหลืองบริเวณนี้ เพื่อนำไปใช้ในสงครามเวียดนาม นายเอนก กลิ่นน้อย อายุ 53 ปี ราษฎรบ้านบ่อฝ้าย เปิดเผยว่า เมื่อปี 2506 สมัยที่มีอายุ 17 ปี เคยรับจ้างทหารอเมริกันผสมสารเคมีและได้มีการนำไปโปรยในป่าใหญ่หลังค่ายธนะรัชต์ อ.ปราณบุรี ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเหมือนเหมือนเวียดนาม โดยทดลองอยู่เกือบ 1 ปี"สารเคมีที่นำมาผสมมี 3 ชนิด เป็นผงสีขาว ๆ และดำมีกลิ่นเหม็นมาก เวลากวนต้องใส่ถุงมือและหน้ากาก ช่วงทำงานผมก็มีอาการแพ้สารเคมีเหมือนกัน และหลังจากผสมเสร็จจะนำขึ้นบรรทุกเครื่องบิน สมัยนั้นเรียกว่าโครงการใบไม้ร่วง ซึ่งเมื่อนำสารเคมีผสมเสร็จแล้วไปโปรย ต้นไม้จะตายอย่างรวดเร็ว" นายเอนกกล่าว (กรุงเทพธุรกิจ 5, 8 เม.ย. 42) ด้านเรือโทเมธี เพ็ญสาดแสง วัย 72 ปี ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้ากองศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในช่วงปี 2508 ก็บอกในทำนองเดียวกันว่า ช่วงทดลอง ทหารอเมริกันและคนไทยที่ไปรับจ้างทำงานเรียกสารตัวนี้ว่าฝนเหลือง "สมัยนั้นคนไทยที่ทำงานอยู่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่ล่วงเลยมา 30 ปีแล้ว สารพิษยังไม่สลายตัว กรมควบคุมมลพิษบอกความจริงกับชาวหัวหินว่าสารเคมีที่ขุดพบเป็นสารเคมีตัวใดและเร่งรีบแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน" เรือโทเมธีกล่าว นอกจากนี้ทักษ์ เดชะปัญญา ประธานสภาเทศบาลตำบลหัวหิน ซึ่งเคยเป็นล่ามและช่างภาพให้กับผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาระบุว่า การทดลองสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายดังกล่าว ใช้ชื่อว่า "defoliate" หรือแผนใบไม้ร่วง ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของประชาชนว่าสารเคมีที่ขุดพบอาจเป็นส่วนประกอบของฝนเหลือง กรมควบคุมมลพิษก็ได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในระหว่างวันที่ 23 มี.ค.-4 เม.ย. 2542 พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ปนเปื้อนมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชนช่วยตรวจสอบด้วย หลังจากตรวจสอบสารปนเปื้อนเพียง 2 วัน นวล เภทยาภัชร ผู้อำนวยการกองวัตถุมีพิษ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ออกมาเปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า พบไดเมทโธเอต (Dimethoate) และไตรอะโซฟอส (Triazophos) ในปริมาณความเข้มข้นที่ต่ำมาก พร้อมทั้งยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า จากการตรวจสอบทั้งในระดับอนุภาคของตัวสาร ระดับโมเลกุล และทุกโครงสร้างทางเคมีแล้วไม่พบทั้ง 2,4-D และ 2,4,5-T หรือแม้แต่ไดออกซิน สารดังกล่าวจึงไม่ใช่ฝนเหลือง สำหรับผลการตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและบริษัทเอกชน ซึ่งก็คือบริษัทเจนโก้นั้น ศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า ไม่พบ 2,4,5-T และ 2,4-D รวมถึงไดออกซินเช่นเดียวกัน โดยสารประกอบหลักที่กรมควบคุมมลพิษตรวจพบคือ 2,6-bis-4-methylphenol หรือ Butylated Hydroxytoluene ซึ่งใช้เป็นสารป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนห้องปฏิบัติเอกชนตรวจพบตัวทำละลายอินทรีย์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหมือนรบกวน ประกอบไปด้วยเบนซีน โทลูอีน เอทธิลเบนซีนและไซลีน ซึ่งเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการล้างคราบไขมันและเป็นเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ดี กลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรมคณะกรรมการรณรงค์ป้องกันภัยสารพิษและกลุ่มกรีนพีชนานาชาติ โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบสารเคมีดังกล่าว รวมทั้งตรวจสอบให้ทราบถึงบริษัทผู้ผลิต เพื่อยืนยันลักษณะของสารเคมีและให้ประเทศที่เป็นเจ้าของออกมาแสดงความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังได้ทำจดหมายถึงสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ให้เปิดเผยข้อมูลทางการทหารที่เคยมีการทดลองสารพิษในประเทศไทยสมัยสงครามเวียดนามด้วย รวมทั้งได้ติดต่อกับศูนย์ข้อมูลสารพิษในสหรัฐฯ ที่ชื่อมัลติเนาชั่นแนล รีสอร์ชเซ็นเตอร์ เพื่อขอข้อมูลสารพิษเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังขอให้ศูนย์ดังกล่าวส่งจดหมายไปยังกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เปิดเผยข้อมูลปฏิบัติการทางทหารในการทดลองสารพิษในประเทศไทยระหว่างสงครามเวียดนาม "เราไม่เชื่อว่าการตรวจมีประสิทธิภาพพอ เพราะปกติการตรวจหาสารพิษเหล่านี้ ต้องมีการตรวจยืนยันกันหลายรอบ นอกจากนี้การเก็บตัวอย่างดินก็ไม่รู้ว่าครอบคลุมบริเวณปนเปื้อนทั้งหมดหรือเปล่า อีกอย่างหนึ่งคือการตรวจหาไดออกซินนั้น ตรวจหาได้ยากมากในประเทศไทยเองก็ยังไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพพอ และต้องใช้งบประมาณสูง" เพ็ญโฉม ตั้ง จากกลุ่มศึกษาและรณรงค์มลภาวะอุตสาหกรรม กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่สามารถยอมรับผลการตรวจของกรมควบคุมมลพิษได้

ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจนว่า สารเคมีที่พบเป็นของใครและเป็นสารอะไรกัน คณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ โดยมีนายศิริธัญญ์ เป็นประธาน ก็พยายามที่จะให้บริษัทเจนโก้เข้าไปดำเนินการบำบัดสารเคมีที่สนามบินบ่อฝ้ายอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติปัญหาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยคาดว่าจะใช้จ่ายในเบื้องต้นถึง 30 ล้านบาท อย่างไรก็ดี คณะรัฐมนตรีไม่อนุมัติงบประมาณดังกล่าวให้แม้จะมีการลดงบประมาณเหลือ 16 ล้านบาทในเวลาต่อมา เพราะกรมควบคุมมลพิษไม่สามารถระบุพื้นที่ที่ปนเปื้อนสารเคมีได้อย่างชัดเจน "ทำไมกรมควบคุมมลพิษไม่พยายามสืบหาต้นตอของสารเคมีนี้ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีอันตราย เป็นสารเคมีที่จัดเก็บผิดวิธี แม้แต่กรมเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสารนี้คืออะไร" เพ็ญโฉมกล่าวพร้อมกับเสริมว่า หากไม่สามารถสืบหาต้นตอของสารเคมีได้ก็จะไม่สามารถจัดการได้ถูกวิธีเพราะสารเคมีทุกชนิดล้วนมีความเป็นพิษต่างกัน การจัดการจัดเก็บจึงต้องต่างกันไปด้วย มิหนำซ้ำยังตั้งข้อสงสัยด้วยว่า ถ้าสารเคมีดังกล่าวไม่มีอันตรายจริงตามที่หลายฝ่ายออกมามายืนยัน ทำไมจึงต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในการจัดการสารตกค้างเหล่านี้ (กรุงเทพธุรกิจ 12 เม.ย. 42)
ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเก็บตัวเงียบตลอดเวลาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของสารพิษ "ฝนเหลือง" ที่มีการขุดพบ ในที่สุดเมื่อถูกก็ออกมายอมรับ โดยโฆษกประจำสถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เข้ามาปฏิบัติการทดลองสารเคมีที่มีชื่อว่า เอเยนต์ออเรนจ์ ในประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า Thailand Defoliation Program หรือโครงการปฏิบัติการทดลองใบไม้ร่วงในไทย ช่วงระหว่างเดือน เม.ย. 2507-มิ.ย. 2508 บริเวณค่ายทหาร อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินบ่อฝ้ายนัก โดยรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร รับทราบอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงเท่านั้น ในเอกสารที่สถานทูตสหรัฐฯ ส่งให้ประเทศไทยในเวลาต่อมายังมีการระบุด้วยว่า นอกจากฝนเหลืองแล้ว สหรัฐฯ ยังมีการทดลองสารเคมีตัวอื่น ๆ ด้วยเพื่อเปรียบเทียบกับสาร เอเยนต์ออเรนจ์ เช่น สารสีม่วง สารสีชมพู เป็นต้น โดยในการทดลองครั้งมีคนไทยร่วมเป็นคณะกรรมการดำเนินการอยู่ด้วย 2 คน คือ นายเต็ม สมิธินันท์ นักวิชาการกรมป่าไม้ ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว และนาย สมจิตร พงค์พงัน ส่วนถังสารเคมีที่พบในสนามบินบ่อฝ้ายนั้น โฆษกประจำสถานทูตสหรัฐฯ คนเดิมเลี่ยงที่จะพูดถึงชนิดและแหล่งที่มา โดยกล่าวเพียงว่า จากการพิสูจน์ของทางการไทยพบว่า ไม่ได้บรรจุสารที่เป็นส่วนที่ประกอบของเอเยนต์ออเรนจ์
ในเวลาต่อมานายสมจิตรได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่มีการโปรยสารเคมีในช่วงของการวิจัย ปี 2507 กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ ได้ทำการติดตามผลระยะยาวว่า จะมีผลต่อมนุษย์และสัตว์รวมทั้งป่าไม้อย่างไรซึ่งจากการพบปะและเยี่ยมเยียนครอบครัวคนงานที่ถูกว่าจ้างให้เก็บตัวอย่างหลังการโปรยสารเคมีแต่ละครั้ง และครอบครัวคนงานที่อยู่ใกล้บริเวณที่โปรยสารเคมีพบว่า เด็กชายคนหนึ่งที่เป็นบุตรของคนงานต้องเป็นเด็กพิการ คือ มีหน้าอกยุบแฟบไม่สมประกอบ ซึ่งจากการสอบถามพบว่าเด็กชายดังกล่าวอยู่ในระหว่างที่มีการโปรยสารเคมีในบริเวณนั้น (มติชน, กรุงเทพธุรกิจ 12 พ.ค. 42)
หลังจากการออกมายอมรับของสหรัฐฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ จึงได้ทำการเก็บตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนสารเคมีในสนามบินบ่อฝ้ายมาทำการตรวจสอบใหม่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่จากสำนักงานคุ้มครองมลพิษของสหรัฐฯ ตัวอย่างดินที่เก็บคราวนี้อยู่ที่ระดับความลึก 2-5 เมตรซึ่งเป็นชั้นดินดาน และได้ส่งไปตรวจสอบที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เพราะจริง ๆ แล้วประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบสารไดออกซินได้ ซึ่งสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมายอมรับในที่สุดว่า ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบสารตัวนี้ เพราะไม่มีเครื่องมือเพียงพอ
ด้านศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ก็ตามคำถามนี้ได้เพียงว่า "ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างดินและน้ำที่ถูกสารเคมีปนเปื้อนไปตรวจสอบและนำไปใช้วิธีการตรวจสอบแบบเทียบเคียงแล้วไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซินแต่อย่างใด ในภาวะเร่งด่วนที่ต้องรายงานให้ประชาชนทราบ จึงต้องใช้วิธีการเช่นนี้ และยืนยันว่าผลการตรวจสอบที่ออกมาเป็นไปตามมาตรฐานการวัดค่าทุกอย่าง" (มติชน 5 เม.ย. 42)
"ไม่ใช่แต่กรณีของบ่อฝ้ายที่เดียวหรอก เท่าที่สังเกตดู ปัญหาทุกปัญหาที่เกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น มักจะรีบออกมาปฏิเสธ ในกรณีนี้ กรมควบคุมมลพิษอาจออกมาปฏิเสธเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนตื่นกลัว แต่กลับไม่คำนึงปัญหาเลยว่าจะก่อผลกระทบอย่างไรบ้าง" เพ็ญโฉมสะท้อนภาพวิธีการแก้ปัญหาของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฝนเหลืองที่ว่าอันตราย บางทีก็ยังอันตรายน้อยกว่าระบบการแก้ปัญหาของราชการไทยเสียอีก

www.school.net.th/library/snet6/envi5/yellowrain/rainn.htm -

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

AIR

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ภาพจำลองการรบ

อนุสาวรีย์ยุวชนทหาร

ร้อยเอกถวิล นิยมเสน

แผนที่แสดงการรบ

แผนที่แสดงการรบ

แผนที่แสดงการรบ

ปืนเล็กยาวแบบ 66

ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ

ยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ
วีรกรรมของยุวชนทหารไทยเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484

เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดชุมพร 2 จุด คือที่บ้านแหลมดิน และบ้านคอสน ทหารญี่ปุ่นที่บ้านแหลมดินเป็นส่วนล่วงหน้า จัดรูปขบวนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก เข้าสู่ถนนชุมพร ปากน้ำ ทหารญี่ปุ่นที่บ้านคอสนเคลื่อนที่ไปทางทิศใต้ ตามแนวชายฝั่ง ไปสมทบกับส่วนล่วงหน้าที่สะพานท่านางสังข์เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองชุมพร
หลวงจรูญประศาสน์ (จรูญ คชภูมิ) ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพรทราบข่าวการยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นเมื่อราวประมาณ 6 นาฬิกา 30 นาที จึงสั่งให้ พ.ต.ต.หลวงจิต การุณราษฏร์ ผู้กำกับตำจรวจภูธร และร้อยเอกถวิล นิยมเสน ผู้บังคับหน่วยฝึกยุวชนทหารที่ 52 ให้จัดกำลังไปต้านทานทหารญี่ปุ่นที่จะเข้าทางปากน้ำชุมพร ในเวลาเดียวกันกองพันทหารราบที่ 38 ชุมพร มีที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทางตะวันตก ตามถนนชุมพร-กระบุรี 9 กิโลเมตร ได้ทราบข่าวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและทราบว่ากำลังตำรวจและยุวชนทหารกำลังออกไปต่อสู่ต้านทานอยู่แล้ว แต่วันที่ 8ธันวาคม เป็นวันหยุดราชกาลและหน่วยทหารได้อนุญาตให้ทั้งนายทหารและพลทหารบางคนลาหยุดตามปกติ เพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ควรเตรียมพร้อม แต่มีหน่วยหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่สนามบินทับไก่ อยู่ห่างจาก ร.พัน.38 ไปตามถนนทางตะวันตกอีก 3 กม. หน่วยนี้ได้เข้าผลัดเปลี่ยนกำลังตำรวจและยุวชนทหารในเวลาต่อมา
เวลาประมาณ 7 นาฬิกา 15 นาที ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้เคลื่อนย้ายกำลังออกปฏิบัติการ โดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 ใช้กำลังยุวชนทหาร 5 คน ตำรวจภูธร 5 คน และราษฎรอาสาสมัคร 1 คน พร้อมด้วยปืนกลเบา 1 กระบอก ในความควบคุมของ จ่าสิบเอกจง แจ้งชาติ เดินทางมุ่งไปรักษาเส้นทางอ่าวพนังตัก หน่วยแยกนี้ไม่พบข้าศึกเลย
ส่วนที่ 2 ใช้กำลังยุวชนทหาร 30 คน ในความควบคุมของร้อยเอกถวิล นิยมเสน และสิบเอกสำราญ ควรพันธ์ ครูฝึก เคลื่อนย้ายโดยรถยนต์บรรทุกตามเส้นทางชุมพร-ปากน้ำไปสะพาน ท่านางสังข์
ยุวชนทหารทั้งหมดที่ออกไปสู้กับทหารญี่ปุ่น เป็นยุวชนทหารชั้นปีที่ 2 ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาแล้วเป็นอย่างดีและกำลังเรียนหนังสืออยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 5 ของปีการศึกษานั้น
เมื่อไปถึงสะพานท่านางสังข์ก็ต้องหยุดเข้าสมทบกับกำลังตำรวจที่กำลังปะทะกับข้าศึกอยู่ก่อน ร้อยเอกถวิลฯ ขึ้นไปตรวจการณ์บนสะพานถูกข้าศึกยิงแต่ไม่เห็นตัวข้าศึกเพราะบริเวณนั้นเป็นป่าสลับกับสวนมะพร้าว ทุ่งนาป่าละเมาะ และข้าศึกก็พรางตัวอย่างดีด้วยใบไม้ กิ่งไม้ ร้อยเอกถวิลฯ จึงรวมกำลังยุวชนทหารทั้งหมดข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้าม โดยให้ยุวชนทหาร 3 คนที่ไม่มีปืนกลับไปรับกระสุนเพิ่มเติมจากในเมือง ในการเคลื่อนที่ข้ามสะพานไปยึดพื้นที่ฝั่งตรงข้ามนั้น ร้อยเอกถวิลฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารทุกคนติดดาบพร้อมที่จะเข้าตะลุมบอนทหารญี่ปุ่นทันที แต่ โชคไม่ดีขณะวิ่งนำยุวชนทหารอยู่นั้น ร้อยเอกฯ ถูกยิงเข้าที่ซอกคอ ทะลุหลอดลมเสียชีวิตทันที ยุวชนทหารวัฒนา นิตยนารถ ได้รายงานให้สิบเอก สำราญฯ ทราบ สิบเอกสำราญฯ จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ควบคุมยุวชนทหารแทน และได้สั่งให้ยิงต่อสู้ข้าศึกต่อไปอย่างเหนียวแน่น ทหารญี่ปุ่นได้เพิ่มเติมกำลังเข้ามาเรื่อยๆโดยพรางตัวด้วยกิ่งไม้ ใบไม้ ดูไกลๆ คล้ายป่าเคลื่อนที่เข้ามา ฝนก็ตกหนักอยู่ตลอดเวลา ยุวชนทหารได้รับคำสั่งให้ยิงทันทีที่เห็นกิ่งไม้ ใบไม้ไหวทำให้ทหารญี่ปุ่นหยุดเคลื่อนที่เข้ามาขณะหนึ่ง ได้ยินเสียงทหารญี่ปุ่นร้องเมื่อถูกยิงอย่างชัดเจน สิบเอกสำราญฯเองก็ถูกยิงที่แขนขวา เนื้อขาดไปทั้งก้อน ปืนหลุดจากมือ ยุวชนทหารลออ เหมาะพิชัย ได้เข้ามาปฐมพยาบาลใช้ผ้าพันแข้งมัดแขนสิบเอก สำราญฯไว้ชั่วคราว สิบเอกสำราญฯ ได้มอบปืนให้ยุวชนทหารวัฒนาฯ ยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนที่เข้ามา
ขณะที่การรบกำลังติดพันอยู่นั้น ยุวชนทหารคนหนึ่งได้ร้องขึ้นว่ามีทหารญี่ปุ่นมาทางซ้าย ประมาณ 200 คน มีธงพื้นขาววงกลมแดงอยู่ตรงกลางนำหน้ามาด้วย ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร (ทราบภายหลังว่า ญี่ปุ่นพยายามจะเข้าขอเจรจาด้วยอ้างว่าได้ติดต่อกับรัฐบาลไทยให้ผ่านได้แล้ว) สิบเอกสำราญฯ ได้สั่งให้ยุวชนทหารเปลี่ยนเป้าหมายไปยิงเป้าหมายใหม่ทันทีทำให้กองทหารญี่ปุ่นต้องหยุดเคลื่อนที่ และตอบมาด้วยปืนเล็ก ปืนกล และลูกระเบิดขว้าง อย่างหูดับตับไหม้ ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีรถยนต์ปักธงขาวคันหนึ่งแล่นมาจากตัวเมืองข้ามสะพาน ท่านางสังข์ มายังตำบลที่ยุวชนทหารอยู่ จึงทราบว่าเป็นรถข้าหลวงประจำจังหวัดกับคณะ มี ร้อยตรีทองบาน รังครัตน์ ประจำ บก.ร.พัน.38 อยู่ในคณะเจรจาหยุดยิงตามคำสั่งทางวิทยุจากรัฐบาล ซึ่งอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทางผ่านคอคอดกระไปยังประเทศพม่าได้ ญี่ปุ่นหยุดยิงทันทีที่เห็นรถคันนี้การรบจึงยุติลง
ผลการสู้รบระหว่างไทยและญี่ปุ่น ที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัดชุมพร เมื่อ 8 ธันวาคม 2484
ฝ่ายเรา ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ยุวชนทหาร และตำรวจเสียชีวิต 5 คน ทหาร ตำรวจและ ราษฎรอาสาสมัคร บาดเจ็บ 5 คน
ฝ่ายข้าศึก ญี่ปุ่นแจ้งให้ทราบว่า ตาย 11 คน เป็นนายทหารยศ ร้อยเอก 1 คน พลทหาร 10 คน บาดเจ็บ 7 คน แต่ปรากฏตามหลักฐานฝ่ายเราว่าชาวบ้านไปพบศพทหารญี่ปุนบริเวณ ทิศตะวันออก ของสะพานท่านางสังข์ 23 ศพ เป็นนายทหาร 3 คน พลทหาร 20 คน
ชื่อของบทความนี้ได้มาจากหนังเรื่องยุวชนทหารเปิดเทอมไปรบ เป็นหนังที่ดีมากควรค่าที่จะไปหาดู เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายเรื่องราวของนักศึกษาวิชาทหารได้ครบทุกองค์ประกอบดูแล้วได้อารมณ์มาก
สำหรับข้อมูลทั้งหมดของบทความนี้คัดลอกและดัดแปลงมาจาก หนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารชาย ชั้นปีที่ 3 พ.ศ.2548 เป็นเรื่องจริงจากรายงานของกองทัพ ไม่ได้ใส่สีหรือแต่งเติม นี่คือความกล้าหาญของยุวชนทหารไทย ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนอายุประมาณ 14-15-16 ปี มีอาวุธเพียงปืนเล็กยาวแบบ 66 ติดดาบปลายปืน ได้เข้าร่วมต่อสู้กับข้าศึกอย่างไม่กลัวความตาย เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยที่พวกเขารัก
แล้วทำไม พวกเราถึงยังทะเลาะกัน แบ่งแย่งฝ่ายโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน พวกเราทำทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร ลืมไปแล้วหรือไงว่า วีรชนในอดีตของเราต้องเสียเลือดเนื้อเพียงใดเพื่อรักษาความเป็นไทยของเราไว้ มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องจับมือกัน แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และร้องเพลงนี้เพื่อประเทศไทยของเรา
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ
ไผทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมาย
รักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใคร่ข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิง ประเทศชาติไทย ทวีมีชัย ชโย

แด่ยุวชนทหารผู้กล้าหาญ และผู้ที่กำลังหลงผิด
KSWAN

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โรงพักท่าตะเกียบ

โรงพักท่าตะเกียบ

รถบัสมหาลัย

obama baby

เพื่อนเก่าของ KSWAN

บันทึก KSWAN 2

DAY 1 07.08.52

15.30 น. วันนี้มีภารกิจต้องไปเข้าค่ายสิ่งแวดล้อม ที่คลองอุดม สระแก้ว แต่ก่อนไปค่ายดันมีสอบวิชากฎหมายคาบแรก วันนี้ก็เลยอยู่ในอาการเมากฎหมาย ข้อสอบของอาจารย์สุดยอดมาก สอบบทที่ 1- 2 ข้อสอบมี 3 ข้อ แต่ข้อมูลที่ต้องอ่านมี 99 หน้า แถมอ่านมาไม่ตรงกับที่สอบด้วย ตกแน่นงานนี้ สอบเสร็จก็มาเรียนอังกฤษต่อเรียนตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงสามโมง จากนั้นก็ไปรวมตัวกับพวกรุ่นพี่ปี4 แล้วก็รุ่นน้องปี 1 ค่ายนี้เรารับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงหวังว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งนะ ชมรมของเราเป็นคนเขียนโครงการค่ายเอง (แต่เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นตัวไร้ประโยชน์ ) นั่งรถ (คราวนี้เป็นรถบัสของมหาลัย มหาลัยให้ยืมมาพร้อมคนขับแต่ต้องจ่ายค่าน้ำมันเอง) ออกมาครึ่งชั่วโมงก็ผ่านแยกบางคล้า แล้วก็วิ่งไปต่อในเส้นทางที่เราไม่รู้จัก ข้างทางมีแต่ต้นไม้ นาข้าว ไร่ข้าวโพด เลี้ยวโค้งขึ้นเขาลงเขา ผ่านด่านตรวจ ถึงค่ายประมาณ 1 ทุ่ม แต่ก่อนถึงต้องเอารถบัสมหาลัยไปจอดฝากไว้ที่ โรงเรียนคลองอุดม เพราะทางไปค่ายรถใหญ่เข้าไม่ได้ติดต้นไม้ ทางเจ้าหน้าที่เค้าจัดรถมารับเป็นรถ 6 ล้อ นั่งรถต่อไปอีกประมาณ 3 ก.ม. ก็มาถึงค่าย ค่ายนี้ตั้งอยู่ที่ หน่วยจัดการต้นน้ำคลองอุดม อำเภอวังสมบูรณ์ จังหวัดสระแก้ว คนที่หาค่ายนี้เจอคนแรกต้องสุดยอดจริงๆ บ้านคนแทบไม่มี มีแต่ไร่ข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ ทางมาก็สุดยอด เห็นถนนลาดยางหายไปต่อหน้าต่อตา แถมนั่งอยู่หลังรถ 6 ล้อ โดยเหวี่ยงไปมามันมาก วิ่งเข้าไปในป่า ต้องคอยหลบต้นไม้ให้ดีไม่งั้นเจ็บตัวแน่ มาถึงค่ายก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี มื้อนี้มีอะไรหลายอย่างที่เรากินไม่เป็น กินได้แต่ไข่พะโล้ แต่ไม่เป็นไร วันนี้กินมาเต็มที่แล้ว กลางวันกินก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษใส่ไข่ แล้วก็ขนนที่เราไม่รู้จักอีกหนึ่งอัน ก่อนขึ้นรถก็ซื้อซาลาเปาไส้ครีมลูกเกดจากเซเว่นอีก 3ลูก กินไป 2 ลูก อีกลูกไม่รู้วางลืมไว้ที่ไหน วันนี้รู้สึกจะกินมากเป็นพิเศษปกติกินแค่นมกล่องเดียว กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลากิจกรรมเริ่มจากแนะนำตัว ให้น้องๆจากโรงเรียน “วังไพร” ที่มาร่วมค่ายรู้จัก ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ม.5-6 โดนรับรุ่นพี่ ให้เต้นท่าไก่ย่าง 5 ดาว ไป 1ชุด แนะนำตัวเสร็จก็ไปรวมกับรุ่นน้อง ความหวังที่ว่างานนี้คงไม่โดนแกล้งแป๊กไปเรียบร้อย แบ่งกลุ่ม เป็นสามกลุ่ม กลุ่มเรามีทั้งหมด 11 คน ทำกิจกรรมกับน้องๆอีกนิดหน่อยก็หมดเวลา เครื่องปั่นไฟน้ำมันกำลังจะหมดแล้ว คนที่อยู่ที่นี่ต้องสุดยอดจริงๆ ไม่มีไฟฟ้าต้องใช้ไฟจากเครื่องปั่นไฟกับแผงโซล่าเซลล์ สัญญาโทรศัพท์มีแค่ขีดเดียว ไม่มีทีวี ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ แต่คืนนี้มีขนมเฉาก๊วยให้กินเป็นมื้อดึก ง่วงนอนแล้ว เหนื่อย แต่ก็สนุกดี




DAY 2 08.08.52

4.15 น เครื่องปั่นไฟทำงาน ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงน้องๆผู้ชายตื่นแล้ว ตื่นเช้าจังนะไอ้พวกนี้ไม่ใช่อะไรหรอก ตื่นมาแย่งกันเข้าห้องน้ำน่ะซิ สำหรับเราอาบน้ำเสร็จก็นั่งเล่นนอนเล่นจนถึงเวลา หกโมงเช้า เข้าแถวออกกำลังกาย แต่รุ่นน้องปีหนึ่งของเราสองคนโดนรับน้องจากรุ่นพี่ของเรา ที่จบไปแล้ว สุดท้ายเรากับเพื่อนของเราก็โดนรับน้องไปกับเค้าด้วย โดนให้เอามือไขว่กันแล้วก็เดินไปพร้อมกัน ปากก็ตะโกนว่า “รักพี่ เสียดายน้อง ท้องทั้งพี่ทั้งน้อง” เฮ้ยไม่ใช่แล้ว อย่างนั้นก็คุกซิครับ ต้องพูดว่า “เคารพพี่ รักน้อง รักพวกพร้อง รักสิ่งแวดล้อม” แต่เราว่าบางทีก็ควรเติมคำว่า “ให้เกียรติรุ่นน้อง” ก็น่าจะดีนะ โดนรับน้องเสร็จ ก็เข้าไปรวมกับชาวบ้านเค้าทำกิจกรรมอีกนิดหน่อย ก็ถึงเวลามื้อเช้ากับข้าวมื้อนี้มีต้มเลือดหมูคนละหนึ่งชาม ต้องกินให้หมดด้วย สำหรับเรามันก็ OK นะ แต่น้องบางคนเล่นใส่พริกซะแดงเลย คงเผ็ดโคตรเห็นตอนกินทรมานน่าดู กินมื้อเช้าเรียบร้อยก็ถึงเวลาเล่นฐาน มีสามฐาน ฐานแรกให้ลอดเชือดกว่าจะผ่านมาได้แทบตาย นึกว่าไม่รอดซะแล้ว ฐานที่สองให้เดินอยู่บนผ้าใบผืนเดียวมีคนอยู่ตั้ง 11 คน โคตรเหนื่อยเลย ฐานสุดท้ายเอาลูกปิงป่องออกจากท่อ เล่นเราคอเคล็ดเลยโดนรุ่นน้องล้มใส่ เล่นครบสามฐานก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงพอดีมื้อนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่
กิจกรรมตอนบ่ายของวันนี้คือ เดินป่า ป่าที่นี่เป็นป่าปลูกขึ้นใหม่แทนป่าเดิมที่โดนทำลายไปแล้ว อายุประมาณ 13 ปี เป็นป่าที่สมบูรณ์มาก มีลอยเท้ากระทิง กวาง ช้าง แล้วก็รถแทรกเตอร์เต็มไปหมด เดินป่าเสร็จก็โดนเล่นฐานปิดตาเดินป่า อันนี้ก็สุดยอด เล่นเอาหลายคนเละเลยโดยเฉพาะเราเดินจมโคลนรองเท้าจมไปมิดเลย ต้องปล่อยมือจากเชือดมาหารองเท้าตาก็ถูกปิด ก็ตอนแรกน้องที่เดินอยู่ข้างหน้าเราเกิดหยุดตรงบ่อโคลนแล้วก็ไม่บอก เราเดินตามมาข้างหลังก็ชนเข้า แล้วเซถอยถอยหลัง ขามันก็เลยจมไปลึกเลย “งานเข้าแล้วซิ” ไม่มีรองเท้าแล้วจะไปต่อยังไง ดีนะที่ขุดมันขึ้นมาได้ รุ่นพี่ไม่ช่วยเลย แอบหัวเราะอย่างเดียว หลุดจากบ่อโคลนมาก็ลงน้ำลึกแค่หัวเข่า แล้วก็ถึงเส้นชัย แต่ยังไม่วายโดนไอ้รุ่นน้องแสนดีมันแกล้งเอาซะได้ เล่นให้เราไปยืนถือไม้อยู่ในป่า ยังดีนะที่ไหวตัวทันไม่งั้นฮ่ากระจายแน่ ยิ่งคนท้ายๆยิ่งโดนแกล้ง เราก็เอากับเค้าด้วยแกล้งให้เดินลุยเข้าป่า เด็กที่นี่ชอบร้อง “เอ๊อะ” แปลว่า เจ็บ หรือ โอ๊ย บางทีก็ใช้ภาษาแปลกๆที่เราไม่รู้จักอย่างคำว่า “โอ๊ยไม้ตำปาก” ถ้าเป็นคำพูดทั่วไปต้องพูดว่า “โอ๊ยไม้กระแทกปาก” หัวแซ่งโคลนก็หมายถึงหัวทิ่มขี้โคลน แต่ฟังดูแล้วก็ตลกดีนะ
จบกิจกรรมเดินป่าก็เกือบห้าโมงเย็นออกจากป่าก็อาบน้ำ แล้วก็ต้องเตรียมบทละครอีกแล้ว คราวนี้ง่ายหน่อยพวกน้องๆคิดบทให้เลยง่าย บทละครก็มีอยู่ว่ามีนายพรานใจบาปหยาบช้าคนหนึ่งเข้าป่าไปล่ากวาง แต่โดนพวกต้นไม้ ลำธาร สัตว์ป่า ช่วยกันรุมด่า ไม่ใช่ซิต้องพูดว่ารุมสั่งสอน จนนายพรานสำนึกได้ เราเล่นเป็นนายพรานเอง โดนน้องมันด่าว่า “ไอ้นายพรานแก่หน้าหล่อ” แสดงละครเสร็จก็ถึงเวลาเล่นเกมวันนี้เราโชคไม่ดีแพ้ทุกรอบ โดนเต้นไปหลายท่า เราก็มีท่าหากินอยู่ท่าเดียว “มอเตอร์ไซค์เวปป้าจากค่ายบางพระ” กิจกรรมสุดท้ายของคืนนี้ ก็คือจุดเทียนรับน้องเข้าเป็นเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนนอนคืนนี้มีถั่วแดงต้มน้ำตาลเป็นของกินมื้อดึก อร่อยมาก.


DAY 3 09.08.52

วันนี้ก็ตื่นตอนตีสี่ เหมือนเดิม พวกน้องๆผู้ชายออกมาเดินเล่นกันอีกแล้ว เช้านี้พี่วิทยากรเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนขับรถออกไปข้างนอกมา ตอนขากลับเห็นรถมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่ข้างทาง ตรงทางโค้ง คนขี่นั่งอยู่ข้างทางโบกมือบ๊ายบายให้แก แปลกนะคนที่นั่งมาด้วยกันกลับไม่เห็น หกโมงครึ่งแล้วถึงเวลาเรียกรวมออกกำลังกายแล้วก็เล่นกายกรรมเหนื่อยอีกแล้ว ออกกำลังกายเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเขียนบรรยายความรู้สึกที่มาค่ายนี้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับบ้านแล้ว มื้อเช้าวันนี้เป็นต้มฟัก (ที่นี่เรียกว่าต้มแฟง) กับผัดกระเพรารสชาติใช้ได้
กิจกรรมสุดท้ายของค่ายนี้คือไปปลูกป่า ต้องนั่งรถ 6 ล้อ เข้าไปในป่าอีกหลายกิโล ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขึ้นเนิน ลงเนิน เลี้ยวโค้ง โยกตัวหลบต้นไม้ สนุกมาก เรียกว่ามีแต่เสียงร้อง “โอ๊ย อุ๊บ แอ๊ก ย้าก” ไปตลอดทาง ครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง ไส้แทบจะหล่นลงมากองกันหมดแล้ว มาถึงพื้นที่ปลูกป่า ลงจากรถเดินเข้าป่าไปอีก 300 เมตร ถึงที่ปลูกป่า ก็ลงมือปลูกต้นไม้กันเลย อาจารย์ของเราบอกว่า “เสถียรถ้าปลูกได้ 100 ต้น เอา A วิชาอาจารย์ไปเลย” เราก็ตอบว่า YES SIR จัดให้ครับอาจารย์ แต่พอเอาจอบขุดดินก็รู้เลยว่าพลาดเสียแล้ว ดินแข็งมากบางจุดก็เป็นดินเหนียว ขุดได้ไม่ถึงไหน พวกน้องๆคงรำคาญเลยบอกว่า พี่ขวัญเอาจอบมาให้หนูเดี๋ยวหนูขุดให้ บ้านหนูทำไร่ ว่าแล้วน้องเค้าก็ขุดใหญ่เลยเล่นเอาเราอายเลย แต่เราก็ปลูกได้หลายต้นเหมือนกัน เกือบเที่ยงปลูกต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรถกลับทางที่มาตอนแรก ทางวิบากรอบสอง
กลับมาถึงค่ายเที่ยงครึ่งพอดีเปลี่ยนชุด แต่ไม่ได้อาบน้ำเดี๋ยวค่อยอาบตอนถึงบ้านก็ได้ บ่ายโมงกินข้าวมื้อสุดท้าย แล้วก็นั่งเล่าความรู้สึกของการมาค่ายนี้ของทุกคน ลืมบอกไปเราเจอซาลาเป่าลูกที่สามแล้วอยู่ในกระเป๋าเราเอง เซ่อจริงๆเลย จะกินมันก็ไม่กล้าเกรงใจท้อง เลยยกให้หมากิน ตอนแรกหมามันไม่กล้ากินเพราะเมื่อวานเราแกล้งโยนไม้ให้มันกิน วันนี้มันคงระแวงเราอยู่ แต่สุดท้ายมันก็กิน บ่ายสองก็ออกจากค่ายบอกลารุ่นพี่ ขึ้นรถ 6 ล้อ ออกไปอีกหลายกิโลคราวนี้สนุกกันใหญ่เพราะมีน้องๆจากรร.วังไพรร่วมทางมาด้วย ตอนนี้ก็เลยถ่ายวีดีโอไว้เสียดายที่โทรศัพท์เราหน่วยความจำเกือบเต็มแล้วเลยถ่ายได้น้อย มาถึง รร.คลองอุดมก็เปลี่ยนรถมาขึ้นรถบัสของเรา จะได้กลับบ้านแล้ว
14.53 น มาถึง รร.เรียนวังไพร ส่งน้องๆลงจากที่โรงเรียน บอกลาน้องๆ เด็กที่นี่น่ารักทุกคน ลาก่อนแล้วเจอกัน
15.35 น หลังจากส่งน้องๆแล้วตอนนี้รถบัสเงียบเหงามาก เหลือคนอยู่แค่ 10 คน ก็มีคนขับ อาจารย์ เพื่อนเรา 3 คน รุ่นน้องปีหนึ่ง 4 คน บนถนนข้างหน้าเราเห็นรถกระบะไตรตันท์ 4 ประตูสีน้ำเงินวิ่งอยู่เลนขวา(ถนนมีแค่สองเลน) รถบัสของเราวิ่งอยู่เลนซ้ายตามหลังมันจู่ๆไอ้รถไตรตันท์มันก็แบนหัวมาทางซ้ายเฉี่ยวกับรถบัสของเราสีถลอก ส่วนรถของมันด้านหน้าซ้ายบุไปถึงประตู คนขับรถของเราลงไปเจรจา พูดกับมันดีๆแต่มันกับด่าคนขับรถของเรา ด่าอาจารย์เรา พวกรุ่นน้องก็เลยลงไปล้อมตัวมันเตรียมสำเร็จโทษมัน แต่อาจารย์ห้ามไว้เพราะมันเมา รุ่นน้องของเราก็เมาพอกัน มันบอกให้ไปคุยกันที่โรงพัก พวกเราก็ขึ้นรถบัสขับตามมันไป แต่มันเล่นขับหนีหายไปเลย พวกเราก็คอยมองหามัน เห็นมันอยู่แต่ไกลขับรถส่ายเป็นงูน่ากลัวมาก รถคันอื่นต้องหลบลงข้างทาง รถบัสของเราไล่ตามมันไม่ทันแน่
15.55 น ระหว่างไล่ตามเจอรถตำรวจวิ่งสวนมา ช่วยกันโบกมือเรียกแล้วบอกตำรวจว่า รถชนแล้วหนีช่วยด้วย ลุงตำรวจแกก็เปิดไซเรนวิ่งไล่ตามมัน มันก็ยังขับหนีรถตำรวจ ไล่ตามกันไปอีกหลายร้อยเมตร ลุงตำรวจขับปาดหน้าให้มันหยุด แล้วตำรวจก็ลงมาล้อมรถมัน รถบัสของเราตามมาทันพอดี เห็นมันพูดท้าทายตำรวจ มันบอกตำรวจว่า “มึงจะเอาเงินเท่าไร” ลุงตำรวจเลยผลักมันล้มลงบนพื้นถนน แล้วบอกว่า “กูไม่ได้มารีดไถ่มึงนะ” เท่านั้นแหละมันถึงกับยกมือไหว้ตำรวจเลย ลุงตำรวจพามันขึ้นรถตำรวจไปโรงพัก พวกเราต้องไปโรงพักด้วย สนุกมากๆ
16.24 น โรงพักท่าตะเกียบ ไอ้คนชนมันเมาไม่รู้เรื่องเลยจะเดินหนีท่าเดียว ตำรวจต้องไปลากตัวกลับมามันไม่ยอมเดินสุดท้ายก็หกล้มเลือดออกเต็มขาเลย น่าสงสาร แต่ก็สมควรโดน มันดูถูกพวกเราก่อน มันบอกว่าพ่อมันอยู่บุรีรัมย์ แต่พ่อมันตายแล้ว แล้วมันบอกว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า 45 ล้าน ค้นดูในกระเป๋าไม่มีแม้แต่บาทเดียว สุดท้ายมันก็โดนพาไปวัดแอลกอฮอล์ แล้วก็ทำแผลที่โรงบาลพยา ระหว่างรอสอบสวน ไม่มีอะไรทำ ลงไปสำรวจโรงพักเล่น ถ่ายรูปที่โรงพัก ลุงตำรวจแกพาไปดูคุก แล้วก็สอนวิชากฎหมายให้ฟัง
17.30 น ยังสวบสวนไม่เสร็จ อาจารย์เลยให้เงินพวกเราไปซื้อข้าวกิน แล้วอย่างลืมซื้อให้อาจารย์กับคนขับรถด้วย ตอนไปซื้อข้าวได้ยินชาวบ้านแถวนั้นพูดเรื่องรถที่ขับหนีตำรวจด้วยเหมือนในหนังเลย แล้วถามว่าพวกเราใช่พวกที่มากับรถบัสคู่กรณีหรือเปล่า เราตอบว่าใช่
ซื้อข้าวเสร็จก็พากันมานั่งกินที่ศาลาพักร้อน กินยังไม่ทันเสร็จมีผู้หญิงใส่เสื้อสีน้ำเงินกางเกงขาสั้น รองเท้าหนัง ถือหนังสือเดินตรงมาที่พวกเรานั่งกินข้าวกันอยู่ ถามพวกเราว่า “จะพักค้างคืนที่หรือคะ” อาจารย์ตอบว่า “ไม่ครับรถของพวกเราเสียก็เลยมานั่งพัก”ไม่ได้บอกเรื่องจริงเพราะดูท่าทางจะสติไม่ดี เราก็เดินเข้าไปหาเอาน้ำไปให้ แต่เธอบอกว่าขอเปลี่ยนเป็นเงินได้มั้ย นั่นเลยงานเข้าอีกแล้ว เราตอบกลับไปว่าเราเป็นนักศึกษาไม่มีเงิน “หนีคนเมาเจอคนบ้า”
19.00 น สอบสวนเสร็จตำรวจบอกให้พวกเรากลับบ้านได้ ส่วนไอ้คนเมาต้องติดคุก 1 คืนแน่นนอน แล้วถ้าคดีถึงศาลอาจต้องติดคุกอีก 1 เดือน ต้องขอขอบพระคุณตำรวจ ส.ภ.ท่าตะเกียบที่ช่วยเหลือพวกเรา ขอบคุณมากครับ
ตอนนี้มืดมากแล้ว ถนนไม่มีแสงไฟต้องเพิ่มความระวังเป็นสองเท่า หน้ารถมีคนนั่งอยู่แค่สี่คน มีอาจารย์ คนขับ เพื่อนเรา แล้วก็เรา เรานั่งข้างคนขับ ที่เหลือนั่งกระจายกันอยู่ตรงกลางแล้วก็ท้ายรถ หลังจากขับออกจากโรงพักไม่นาน เห็นข้างทางมีคนใส่เสื่อสีขาวเดินอยู่ข้างถนน เราพูดกับเพื่อนว่าคนคนนี้เค้าไม่กลัวหรือไง ออกมาเดินทำไม บนถนนมีแต่ซากหมาโดนรถทับ แถมมืดมากด้วย วันต่อมาเพื่อนมาบอกว่าผู้ชายที่เราเห็นตอนนั้น ตอนที่เราพูด เพื่อนที่นั่งอยู่ตรงกลางรถก็เลยหันหลังกลับไปดู เห็นผู้ชายคนนั้นไม่มีหน้าตาไม่มีปาก ตา จมูก มีแต่เลือด!!
เกือบสามทุ่มพวกเราก็มาถึงแปดริ้วคนขับรถไปส่งที่ขนส่งแปดริ้ว แต่รถโดยสารทุกสายที่วิ่งผ่านบ้านเราหมดแล้วไม่มีรถกลับ ต้องโทรเรียกแม่มารับ สามทุ่มครึ่งถึงบ้าน อาบน้ำแล้วก็นอนเลย มาค่ายคราวนี้ได้ครบรสชาติเลย ทั้ง โหด มัน ฮ่า เรื่องน่ากลัว เรื่องตื่นเต้น สนุกมาก.

*รูปภาพดูเอาในบล็อกนะครับ.

ปิดตาเดินป่า


???


แสงเทียน


จุดเทียนรับน้อง


วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552


ปลูกต้นไม้


อาจารย์ขุดเอง


เล่นกายกรรม


ฐาน 3


ฐาน 2


รับน้อง


กลับบ้าน 2

กลับบ้าน 1

เช้าวันที่ 2


วังไพร


ซาลาเปาลูกที่ 3


กวางบาดเจ็บที่เลี้ยงไว้ในค่าย


กลุ่มวังไพร


ค่ายของชมรมเส้นใบและสายน้ำ


ค่าย

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

USS in Pearl Harbor

Uss in Pearl Harbor


USS Arizona 2

USS Arizona

The wreck of Arizona


The wreck of Arizona


The wreck of Arizona


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


Sunk during attack on Pearl Harbor on 7 December 1941


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)


USS Arizona (BB-39)

Name: USS Arizona
Namesake: The State of Arizona
Ordered: 4 March 1913
Builder: Brooklyn Navy Yard
Laid down: 16 March 1914
Launched: 19 June 1915
Commissioned: 17 October 1916
Fate: Sunk during attack on Pearl Harbor on 7 December 1941
Struck: 1 December 1942
Class and type: Pennsylvania-class battleship
Displacement: 31,400 tons (28,500 tonnes)
Length: 600 ft (180 m) (waterline) ; 608 ft (185 m) (overall)
Beam: 97 ft (30 m) (waterline), 106 ft (32 m) (extreme)
Draft: 28.8 ft (8.8 m) (mean); 3 ft (910 mm) (maximum)
Propulsion: 4 propellers powered by Parson steam turbines
Speed: 21 kn (24 mph; 39 km/h)
Range: 8,000 nmi (9,200 mi; 15,000 km) at cruising speed of 12 kn (14 mph; 22 km/h) Complement: 1,385 officers and men Armament:
As Built:
12 × 14 in (360 mm)/45 cal guns
22 × 5 in (130 mm)/51 cal guns,
4 × 3 in (76 mm)/23 cal AA guns
4 × 3-pounder (47 mm (1.9 in)) saluting guns
2 × 1-pounders (37 mm (1.5 in))
2 × 0.30 in (7.62 mm) machine guns
2 × 21 in (530 mm) torpedo tubes

During WWI:
12 × 14 in (360 mm)/45 cal guns
14 × 5 in (130 mm)/51 cal guns
4 × 3 in (76 mm)/23 cal AA guns
4 × 3-pounder (47 mm (1.9 in)) saluting guns
2 × 1-pounders (37 mm (1.5 in))
2 × 0.30 in (7.62 mm) machine guns
2 × 21 in (530 mm) torpedo tubes
After Sept 1940:
12 × 14 in (360 mm)/45 cal guns
12 × 5 in (130 mm)/51 cal guns
12 × 5 in (130 mm)/25 cal AA guns
Armor:
Belt 14 in (360 mm) (amidships); 8 in (200 mm) (aft)
Deck: 3 in (76 mm) (ends)
Turrets: 9 to 18 in (230 to 460 mm)
Conning Tower: 16 in (410 mm)
Aircraft carried: 2 × floatplanes

USS Arizona (BB-39) was a Pennsylvania-class battleship of the United States Navy. The vessel was the first to be named "Arizona" specifically in honor of the 48th state. She was commissioned in 1916 and served stateside during World War I. Arizona is best known for her cataclysmic and dramatic sinking, with the loss of 1,177 lives, during the Japanese attack on Pearl Harbor on 7 December 1941, the event that brought about US involvement in World War II. The wreck was not salvaged, and continues to lie at the floor of the harbor. It is the site of a memorial to those who perished on that day.
On 4 March 1913, Congress authorized the construction of Arizona, the second and last of the Pennsylvania class of "super-dreadnought" battleships. Her keel was laid at the Brooklyn Navy Yard on 16 March 1914. She was launched on 19 June 1915, sponsored by Miss Esther Ross—daughter of a prominent Arizona pioneer, Mr. W.W. Ross of Prescott, Arizona. Her remaining machinery was installed, which included new Parson turbines,[1] and she was then commissioned at her builder's yard on 17 October 1916, Captain John D. McDonald in command.
World War I
Arizona departed New York on 16 November 1916 for shakedown training off the Virginia Capes and Newport, Rhode Island, proceeding thence to Guantánamo Bay. She returned north to Norfolk on 16 December to test fire her battery and to conduct torpedo-defense exercises in Tangier Sound. The battleship returned to her builder's yard the day before Christmas of 1916 for post-shakedown overhaul. Completing these repairs and alterations on 3 April 1917, she cleared the yard on that date for Norfolk, arriving there on the following day to join Battleship Division 8 (BatDiv 8).
Within days, the United States forsook its tenuous neutrality in the global conflict then raging and entered World War I. The new battleship operated out of Norfolk throughout the war, serving as a gunnery training ship and patrolling the waters of the eastern seaboard from the Virginia Capes to New York. An oil-burner, she had not been deployed to European waters owing to a scarcity of fuel oil in the British Isles — the base of other coal-fueled American battleships sent to aid the Grand Fleet.
Inter-war period
A week after the armistice of 11 November 1918 stilled the guns on the western front, Arizona stood out of Hampton Roads for the Isle of Portland, England and reached her destination on 30 November, putting to sea with her division on 12 December to rendezvous with George Washington, the ship carrying President Woodrow Wilson to the Paris Peace Conference. Arizona, one of the newest and most powerful American dreadnoughts, served as part of the honor escort convoying President Wilson to Brest, France on 13 December.
In a precursor of World War II's Operation Magic Carpet, Arizona embarked 238 homeward-bound veterans and sailed from Brest for New York on 14 December. She arrived off Ambrose light station on the afternoon of Christmas Day. The next day, she passed in review before Secretary of the Navy Josephus Daniels, who was embarked in Mayflower off the Statue of Liberty, before entering New York Harbor in a great homecoming celebration. The battleship then sailed for Hampton Roads on 22 January 1919, returning to her base at Norfolk on the following day.
Arizona sailed for Guantánamo Bay with the fleet on 4 February, and arrived on the 8th. After engaging in battle practices and maneuvers there, the battleship sailed for Trinidad on 17 March, arriving there five days later for a three-day port visit. She then returned to Guantánamo Bay on 29 March for a brief period, sailing for Hampton Roads on 9 April. Arriving at her destination on the morning of the 12th, she got underway late that afternoon for Brest, ultimately making arrival there on 21 April.
The battleship stood out of Brest harbor on 3 May, bound for Asia Minor, and arrived at the port of Smyrna (later known as İzmir) eight days later to protect American lives there during the Greek occupation of that port—an occupation resisted by gunfire from Turkish nationals. Arizona provided temporary shelter on board for a party of Greek nationals, while the battleship's Marine detachment guarded the American consulate; a number of American citizens also remained onboard Arizona until conditions permitted them to return ashore. Departing Smyrna on 9 June for Istanbul, Turkey, the battleship carried the United States consul-at-large, Leland F. Morris, to that port before sailing for New York on 15 June. Proceeding via Gibraltar, Arizona reached her destination on 30 June.
Entering the New York Navy Yard for upkeep (including removal of six of the original 22 5 in (130 mm)/51 cal guns)[2] soon thereafter, the battleship cleared that port on 6 January 1920, to join BatDiv 7 for winter and spring maneuvers in the Caribbean. She operated out of Guantánamo Bay during this period, and also visited Bridgetown, Barbados in the British West Indies, and Colón, Panama in the Canal Zone, before she sailed north for New York, arriving there on 1 May. Departing New York on 17 May, Arizona operated on the Southern Drill Grounds, and then visited Norfolk and Annapolis, Maryland before returning to New York on 25 June. Over the next six months, the ship operated locally out of New York. During this time, she was given the alphanumeric hull classification symbol BB-39 on 17 July, and on 23 August she became flagship for Commander Battleship Division 7 (ComBatDiv 7), Rear Admiral Edward V. Eberle.
Sailing from New York on 4 January 1921, Arizona joined the fleet as it sailed for Guantánamo Bay and the Panama Canal Zone. Arriving at Colón, Panama, on the Atlantic side of the isthmian waterway, on 19 January, Arizona traveled through the Panama Canal for the first time on that day, arriving at Panama Bay on the 20th. Underway for Callao, Peru on the 22nd, the fleet arrived there on the 31st for a six-day visit. While she was there, Arizona was visited by the president of Peru. Underway for Balboa on 5 February, Arizona arrived at her destination on the 14th. Crossing through the canal again the day after Washington's birthday, the battleship reached Guantánamo Bay on the 26th. She operated thence until 24 April, when she sailed for New York, steaming via Hampton Roads.
Arizona reached New York on 29 April, and remained under overhaul there until 15 June. She steamed thence for Hampton Roads on the latter date, and on the 21st steamed off Cape Charles with Army and Navy observers to witness the experimental bombings of U-117. Proceeding thence back to New York, the battleship there broke the flag of Vice Admiral John D. McDonald (who, as a captain, had been Arizona's first commanding officer) on 1 July and sailed for Panama and Peru on 9 July. She arrived at the port of Callao on 22 July as flagship for the Battle Force, Atlantic Fleet, to observe the celebrations accompanying the centennial year of Peruvian independence. On 27 July, Vice Admiral McDonald went ashore and represented the United States at the unveiling of a monument commemorating the accomplishments of José de San Martín, who had liberated Peru from the Spanish a century before.
Sailing for Panama Bay on 3 August, Arizona became flagship for BatDiv 7 when Vice Admiral McDonald transferred his flag to Wyoming and Rear Admiral Josiah S. McKean broke his flag on board as commander of the division on 10 August at Balboa. The following day, the battleship sailed for San Diego, arriving there on 21 August.
Over the next 14 years, Arizona alternately served as flagship for BatDivs 2, 3 and 4. Based at San Pedro, California during this period, Arizona operated with the fleet in the operating areas off the coast of southern California or in the Caribbean during fleet concentrations there. She participated in a succession of fleet problems (the annual maneuvers of the fleet that served as the culmination of the training year), ranging from the Caribbean to the waters off the west coast of Central America and the Canal Zone; from the West Indies to the waters between Hawaii and the west coast.
Following her participation in Fleet Problem IX (January 1929), Arizona crossed through the Panama Canal on 7 February for Guantánamo Bay, whence she operated through April. She then proceeded to Norfolk Navy Yard, entering it on 4 May, to prepare for modernization.
Placed in reduced commission on 15 July, Arizona remained in yard hands for the next 20 months; tripod masts, surmounted by three-tiered fire control tops, replaced the old hyperboloid cage masts; the number of 5 in (130 mm)/51 cal guns was reduced to 12 and re-positioned one deck higher, and eight 5 in (130 mm)/25 cal anti-aircraft guns[2] replaced the 3 in (76 mm)/50 cal guns with which she had been equipped. She also received additional armor to protect her vitals from the fall of shot and blisters to protect her from torpedo or near-miss damage from bombs. In addition, she received new boilers as well as new main and cruising steam turbines. Ultimately, she was placed in full commission on 1 March 1931.
A little over two weeks later, on 19 March, President Herbert Hoover embarked on board the recently modernized battleship and sailed for Puerto Rico and the Virgin Islands, standing out to sea from Hampton Roads that day. Returning on 29 March, Arizona disembarked the Chief Executive and his party at Hampton Roads, and then proceeded north to Rockland, Maine to run her post-modernization standardization trials. After a visit to Boston, the battleship dropped down to Norfolk, whence she sailed for San Pedro on 1 August, assigned to BatDiv 3, Battle Force.
Over the next decade, Arizona continued to operate with the Battle Fleet and took part in the succession of fleet problems that took the fleet from the waters of the northern Pacific and Alaska to those surrounding the West Indies, and into the waters east of the lesser Antilles. The ship and her crew also were featured in a 1935 James Cagney film for Warner Brothers, Here Comes the Navy, which made extensive use of both exterior footage as well as on-board location shots.
On 17 September 1938, Arizona became the flagship for BatDiv 1, when Rear Admiral Chester Nimitz broke his flag onboard. Detached on 27 May 1939 to become Chief of the Bureau of Navigation, Nimitz was relieved on that day by Rear Admiral Russell Willson.
Arizona's last fleet problem was XXI. At its conclusion, the United States Fleet was retained in Hawaiian waters, based at Pearl Harbor. She operated in the Hawaiian Operating Area until late that summer, when she returned to Long Beach, California on 30 September 1940. She was then overhauled at the Puget Sound Navy Yard, Bremerton, Washington, into the following year. The anti-aircraft battery was increased to 12 5 in (130 mm)/25 cal guns.[2] Her last flag change-of-command occurred on 23 January 1941, when Rear Admiral Willson was relieved as ComBatDiv 1 by Rear Admiral Isaac C. Kidd.
The battleship returned to Pearl Harbor on 3 February to resume the intensive training maintained by the Pacific Fleet. She made one last visit to the west coast, clearing "Pearl" on 11 June for Long Beach, ultimately returning to her Hawaiian base on 8 July. Over the next five months, she continued exercises and battle problems of various kinds on type training and tactical exercises in the Hawaiian operating area. She underwent a brief overhaul at the Pearl Harbor Navy Yard commencing on 27 October, receiving the foundation for a search radar atop her foremast. She conducted her last training in company with Nevada and Oklahoma, conducting a night firing exercise on the night of 4 December. All three ships moored at quays along Ford Island on the 5th.
Scheduled to receive tender availability, Arizona took Vestal alongside on Saturday, 6 December. The two ships were thus moored together on the morning of 7 December; among the men onboard Arizona that morning were Rear Admiral Kidd and the battleship's captain, Captain Franklin van Valkenburgh.
December 7, 1941
Shortly before 0800, Japanese aircraft from six fleet carriers struck the Pacific Fleet as it lay in port at Pearl Harbor, and — in the ensuing two attack waves — wrought devastation on the Battle Line and on air and military facilities defending Pearl Harbor.
Onboard Arizona, the ship's air raid alarm went off about 07:55, and the ship went to general quarters soon thereafter. Shortly after 08:00, a bomb dropped by a high-altitude Nakajima B5N "Kate" torpedo bomber from the Japanese carrier Kaga hit the
side of the #4 turret and glanced off into the deck below, starting a small fire but causing minimal damage.
At 08:06, a bomb from a Hiryū "Kate" hit between and to port of Turrets #1 & 2. The subsequent explosion — which destroyed the forward part of Arizona — was due to the detonation of the ammunition magazine, located in an armored section under the deck. Most experts seem to agree that the bomb could hardly have pierced the armor.[4] Instead, it seems widely accepted that the black powder magazine (used for aircraft catapults) detonated first, igniting the smokeless powder magazine (used for the ship's main armament). A 1944 BUSHIP report suggests that a hatch leading to the black powder magazine was left open, with perhaps inflammable materials stocked nearby. A US Navy historical site goes as far as to suggest that black powder might have been stockpiled outside of the armored magazine.[5] However, it seems unlikely that a definitive answer to this question might be found. Credit for the hit was officially given to Petty Officer Noburu Kanai, who was considered to be the JNAF's "crack" bombardier; his pilot was Tadashi Kusumi.[6] The cataclysmic explosion ripped through the forward part of the ship, touching off fierce fires that burned for two days; debris showered down on Ford Island in the vicinity. Ironically, the blast from this explosion also put out fires on the repair ship Vestal, which was moored alongside.
Acts of heroism on the part of Arizona's officers and men were many, headed by those of Lieutenant Commander Samuel G. Fuqua, the ship's damage control officer, whose coolness in attempting to quell the fires and get survivors off the ship earned him the Medal of Honor.
Posthumous awards of the Medal of Honor also went to Rear Admiral Isaac C. Kidd, the first flag officer killed in the Pacific war, and to Captain Franklin Van Valkenburgh, who reached the bridge and was attempting to defend his ship when the bomb hit on the magazines destroyed her.
The blast that destroyed Arizona and sank her at her berth alongside of Ford Island took a total of 1,177 lives of the 1,400 crewmen on board at the time - over half of the casualties suffered by the entire fleet in the attack.
Placed "in ordinary" at Pearl Harbor on 29 December, Arizona was struck from the Naval Vessel Register on 1 December 1942. Her wreck was cut down so that very little of the superstructure lay above water; her aft battery turrets and guns and cannons from #2 turret were removed to be emplaced as coastal defense guns, but both forward turrets remain in place (her Turret #1 was discovered during a dive in 1983). The aft turrets, #3 and #4, were moved to become United States Army Coast Artillery Corps Battery Arizona on the west coast of Oahu and Battery Pennsylvania on Mokapu Point.[8] The #2 turret guns were later installed aboard Nevada in the fall of 1944;[9] Nevada then used those guns against the Japanese islands of Okinawa and Iwo Jima.[10]
It is commonly — but incorrectly — believed that Arizona remains perpetually in commission, like the USS Constitution
Memorial and honors
The wreck of Arizona remains at Pearl Harbor, a memorial to the men of her crew lost that December morning in 1941. On 7 March 1950, Admiral Arthur W. Radford, Commander in Chief of the Pacific Fleet at that time, instituted the raising of colors over her remains. Legislation during the administrations of Presidents Dwight D. Eisenhower and John F. Kennedy resulted in the designation of the wreck as a national shrine on 30 May 1962. A memorial was built across the ship's sunken remains, including a shrine room listing the names of the lost crewmembers on a marble wall. While the superstructure and three of the four main turrets were removed, the barbette of one of the turrets remains visible above the water. Memorial services are regularly held in the shrine, with an ever-smaller number of Arizona survivors attending over the years. Warships of the Japan Maritime Self-Defense Force and other navies routinely salute Arizona when passing through Pearl Harbor.
As of 2009, 67 years after the explosion that destroyed Arizona, oil leaks from the hull still rise to the surface of the water. Arizona continues to leak about a quart (0.95 L) of oil per day into the harbor.[12]Survivors from the crew say that the oil will continue to leak until the last survivor dies.[13] Many of the survivors have arranged for their ashes to be placed in the ship, among their fallen comrades, upon their death and cremation. The Navy, in conjunction with the National Park Service, has recently overseen a comprehensive computerized mapping of the hull, being careful to honor its role as a war grave. The Navy is considering non-intrusive means of abating the continued leakage of oil to avoid the further environmental degradation of the harbor
Awards and honors
Arizona was awarded one battle star for her service in World War II. The national memorial was administratively listed on the National Register of Historic Places on 15 October 1966. The ship herself was designated a National Historic Landmark on 5 May 1989.
One of the original Arizona bells now hangs in the University of Arizona. The university built their $60 million student union to the shape of Arizona's bow.
A mast and anchor from Arizona are in Wesley Bolin Memorial Plaza just east of the Arizona state capitol complex in downtown Phoenix, Arizona. Other artifacts from the ship can be found in the permanent exhibit "Flagship of the Fleet: Life and Death of the USS Arizona" at the Arizona State Capitol Museum.[14]
A flat section of hull and other artifacts from Arizona are in place on the quarterdeck of the USS Arizona training "ship" on the RTC at Naval Station Great Lakes.


USS Arizona (BB-39) - Wikipedia, the free encyclopedia.htm